คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5679/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยแต่เพียงเรื่องอำนาจฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นๆ รวมถึงประเด็นข้อพิพาทในเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่ แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแล้ว จำเลยได้ทำคำแก้อุทธรณ์โดยตั้งประเด็นไว้ด้วยว่ารถยนต์พิพาทไม่ได้สูญหาย เมื่อปรากฏว่าประเด็นข้อพิพาทในชั้นอุทธรณ์ซึ่งเกิดจากคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยมีเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่อยู่ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 237 และ 240

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เอาประกันวินาศภัยรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่นเอส 280 กับจำเลย คุ้มครองการลักทรัพย์ในวงเงิน 3,300,000 บาท ระหว่างเวลาคุ้มครองตามกรมธรรม์ รถดังกล่าวสูญหายไป โจทก์ขอรับเงินค่าสินไหมทดแทน จำเลยไม่ชดใช้ให้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน3,650,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,300,000บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์ที่เอาประกันภัย แต่เป็นของบริษัทวิริยะลิสซิ่ง จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งบริษัทผู้ให้เช่าซื้อได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2540 แล้วและโจทก์มิใช่ผู้เอาประกันภัยรถดังกล่าวกับจำเลย เพราะบริษัทวิริยะลิสซิ่ง จำกัด เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย และรถก็มิได้สูญหายไปด้วย บริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถได้บอกเลิกสัญญาประกันภัยแก่จำเลยในวันที่ 30 ตุลาคม 2540 กับใช้สิทธิรับค่าเบี้ยประกันภัยส่วนคืนจากจำเลยแล้ว ขณะรถยนต์สูญหายนั้น รถจึงมิได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย นอกจากนี้ก่อนวันที่ 30 ตุลาคม 2540 โจทก์ได้โอนส่งมอบรถยนต์แก่บุคคลภายนอกโดยมิได้แจ้งบริษัทผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยทราบ กรมธรรม์ประกันภัยย่อมระงับไปตามข้อตกลง โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลย เพราะตามกรมธรรม์ประกันภัยผู้รับประโยชน์คือบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีมีป็นหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจฟังได้ว่ารถยนต์พิพาทได้หายไปจริงตามฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นคำวินิจฉัยที่ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยไม่ได้หยิบยกปัญหาเรื่องรถยนต์สูญหายขึ้นต่อสู้ในชั้นที่โจทก์ร้องขอความเป็นธรรมต่อนายทะเบียนประกันภัย คดีจึงไม่มีประเด็นดังกล่าว กับศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยในเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่ โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ปัญหานี้ ประเด็นนี้จึงยุติไปแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทในคดีย่อมเกิดจากคำคู่ความคือคำฟ้องและคำให้การในคดี มิใช่เกิดจากข้อต่อสู้ของคู่กรณีในชั้นอื่น ๆ ก่อนที่จะมีการฟ้องร้องกัน คดีนี้เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิด จำเลยได้ให้การต่อสู้ในเรื่องรถยนต์มิได้สูญหายมาด้วย ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นประเด็นข้อพิพาทโดยชอบในคดี แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยแต่เพียงเรื่องอำนาจฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น ๆ รวมถึงประเด็นข้อพิพาทในเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่ แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแล้ว ก็ปรากฏว่าจำเลยได้ทำคำแก้อุทธรณ์โดยตั้งประเด็นไว้ด้วยว่ารถยนต์พิพาทไม่ได้สูญหาย เมื่อปรากฏว่าประเด็นข้อพิพาทในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งเกิดจากคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยมีเรื่องรถยนต์พิพาทสูญหายหรือไม่อยู่ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 237 และ 240 ที่โจทก์ฎีกากล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยเพื่อให้เห็นว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นไปเช่นนั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนจำเลย

Share