คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5675/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นที่ดิน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันปรับถมที่ดินของโจทก์ เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองกระทำการ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคาที่ดินของโจทก์ที่พังทลายเป็นเงิน 150,000 บาทด้วย ก็เป็นคำขอบังคับเมื่อไม่อาจบังคับตามคำขอข้อแรกและข้อที่สองได้ ซึ่งถือว่าเป็นคำขอรอง ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 4,000 บาท ก็เป็นการขอให้ชำระค่าเสียหายนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป อันเป็นค่าเสียหายในอนาคต ไม่อาจนำมาคิดคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้ จึงไม่ทำให้คดีของโจทก์กลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีของโจทก์ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนครปฐมว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40590 ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 199 ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ เมื่อปี 2547 จำเลยที่ 1 ใช้จ้างวานผู้อื่นขุดตักดินในที่ดินของจำเลยที่ 1 จนเป็นบ่อขนาดใหญ่ โดยไม่กระทำการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บริเวณที่ดินข้างเคียง เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยที่ 1 พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยที่ 1 ประกอบกับฝนตกลงมาทำให้ดินพังทลายเพิ่มมากขึ้นจนได้รับความเสียหายตลอดมา ภายหลังจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ดินของโจทก์ยังคงพังทลายติดต่อกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์แจ้งเหตุแห่งความเสียหายให้จำเลยทั้งสองป้องกันแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดิน โดยให้ใช้เสาคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงรูปตัวไอ ขนาด 0.30 x 0.30 x 15 เมตร ตอกลึกลงไปในที่ดินเป็นฐานรากใต้ดินของเขื่อนทุกระยะ 1 เมตร และใช้แผงกั้นดินคอนกรีตหนา 0.10 เมตร กั้นลึกตั้งแต่ระดับก้นบ่อถึงแนวพื้นดินปกติ และใช้สมอยึดตัวเขื่อนทุกระยะ 3 เมตร ตลอดตัวเขื่อน โดยใช้สมอเสาคอนกรีตเหล็กขนาด 0.30 x 0.30 เมตร และให้จำเลยทั้งสองเทคอนกรีตเสริมเหล็กทับหลังเขื่อนลงในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 199 ในระยะชิดกับแนวที่ดินของโจทก์เป็นแนวตลอดความยาวของที่ดินพังทลายเป็นความยาว 35 วา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันปรับถมที่ดินของโจทก์ตลอดแนวที่พังทลายจำนวน 1 ไร่ 2 งาน ให้เสมอแนวพื้นดินทั่วไปของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่กระทำตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคาที่ดินของโจทก์ที่พังทลายจำนวน 1 ไร่ 2 งาน เป็นเงิน 150,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะทำตามคำขอบังคับข้อ 1 และข้อ 2 หรือข้อ 3 แล้วเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งว่า โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคาที่ดินของโจทก์ที่พังทลายเป็นเงิน 150,000 บาท เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถือได้ว่าคดีเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะสร้างเขื่อนคอนกรีตกั้นดิน แผงคอนกรีตกันดิน และเทคอนกรีตเสริมเหล็กทับหลังเขื่อน กับปรับถมที่ดินของโจทก์เสร็จมาด้วย ก็เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหลังวันฟ้องไม่อาจคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้ เมื่อทุนทรัพย์ของคดีนี้ไม่เกิน 300,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐม ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17, 25 (4) ศาลจังหวัดไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 18 จึงให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมตามมาตรา 16 วรรคสี่
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมเพื่อพิจารณาพิพากษาชอบหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นขุดตักดินในที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยไม่กระทำการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บริเวณที่ดินข้างเคียงเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ที่อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 พังทลาย ประกอบกับฝนตกลงมาทำให้ดินพังทลายเพิ่มมากขึ้นจนได้รับความเสียหายตลอดมา ภายหลังจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ดินของโจทก์ยังคงพังทลายติดต่อกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์แจ้งเหตุแห่งความเสียหายให้จำเลยทั้งสองป้องกันแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จึงมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดิน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันปรับถมที่ดินของโจทก์ตลอดแนวที่พังทลายจำนวน 1 ไร่ 2 งาน ให้เสมอแนวพื้นดินทั่วไปของโจทก์ อันเป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองกระทำการ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคาที่ดินของโจทก์ที่พังทลายเป็นเงินจำนวน 150,000 บาทด้วย ก็เป็นคำขอบังคับเมื่อไม่อาจบังคับตามคำขอข้อแรกและข้อที่สองได้ ซึ่งถือว่าเป็นคำขอรอง ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 4,000 บาท ก็เป็นการขอให้ชำระค่าเสียหายนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป อันเป็นค่าเสียหายในอนาคต ไม่อาจนำมาคิดคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้ จึงไม่ทำให้คดีของโจทก์กลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีของโจทก์ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) การที่ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งให้โอนคดีเรื่องนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลจังหวัดนครปฐมที่ให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมและให้ศาลจังหวัดนครปฐมรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share