แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยได้ลอบใส่ยานอนหลับผสมลงในสุราให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่มจนหลับหมดสติไป เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองตกอยู่ในสภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยได้ลักทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองไป ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดมาในฟ้องด้วย จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสามได้ จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2534 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยลักเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 15 องค์และแหวนทองคำหัวหยก 1 วง ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ทั้งนี้จำเลยใช้ยามีฤทธิ์ทำให้มึนเมาและหลับหมดสติผสมในเครื่องดื่มให้ผู้เสียหายดื่มจนหลับไป เพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339
จำเลยให้การรับว่าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง แต่จำเลยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง จำคุก 5 ปี จำเลยรับสารภาพว่าลักทรัพย์ เนื่องจากค้นพบทรัพย์ของผู้เสียหายในตัวจำเลยอันเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีจึงไม่ลดโทษให้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม จำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยมิได้ใส่ยานอนหลับลงในสุราให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่มแต่คนทั้งสองดื่มสุราและเบียร์เข้าไปมากประกอบกับร่างกายอ่อนเพลียมาก่อน จึงหลับไปเอง และจำเลยได้กระทำผิดในเวลากลางวันนั้นข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยได้ลอบใส่ยานอนหลับผสมลงในสุราให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่มจนหลับหมดสติไป เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองตกอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยได้ลักทรัพย์ของกลางของนายสมบูรณ์ไป ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไปการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดในเวลากลางวันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดในเวลากลางคืน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาชิงทรัพย์จึงเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่จิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสามนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดในฟ้องด้วย จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในการกระทำผิดฐานดังกล่าวได้ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง จำคุกจำเลย 10 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษลง 1 ใน 3 ตามมาตรา 78จำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือน