คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5620/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ระดับโรงเรียนของประเทศ โจทก์จำต้องจัดหาบุคลากรเข้ามาทำงานทางด้านวิทยาการ ต้องติดต่อขอทุนศึกษาภายใต้แผนโคลัมโบจากกรมวิเทศสหการ เมื่อกรมวิเทศสหการหาทุนได้แล้วโจทก์จะต้องดำเนินการคัดเลือกผู้ได้รับทุนเสนอไปยังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อผู้ได้รับทุนเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศสำเร็จการศึกษากลับมาแล้ว จะได้นำความรู้กลับมาพัฒนาการศึกษาของชาติต่อไป หากผู้ได้รับทุนบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ย่อมสูญเสียบุคลากรที่ได้สร้างขึ้นมาและสูญเสียเวลาที่จะต้องจัดหาผู้เข้ารับทุนรายอื่นไปศึกษาทดแทน ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานราชการตามที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้ เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับซึ่งไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ การที่สัญญาได้ระบุให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินทุน เงินเดือน และเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ได้รับคืนโจทก์ และกำหนดเบี้ยปรับอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้คืนนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินตาม ป.พ.พ.มาตรา 383 วรรคหนึ่งแล้ว เงินเบี้ยปรับที่โจทก์เรียกร้องมาตามสัญญามิได้สูงเกินส่วน
ข้อสัญญาที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันสละสิทธิที่จะขอให้เรียกจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน และสละสิทธิที่จะให้โจทก์บังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 688 และ 689นั้น ฐานะของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันในลักษณะนี้จึงต้องรับผิดร่วมกันกับจำเลยที่ 1ผู้เป็นลูกหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 691 หรือนัยหนึ่งจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานประจำตำแหน่งวิทยากรสาขาคหกรรม ในสังกัดของโจทก์ ได้ทำสัญญากับโจทก์ไปศึกษา ณประเทศออสเตรเลีย ในวิชาการศึกษาวิทยาศาสตร์ด้วยทุนของโจทก์ ซึ่งโจทก์เป็นผู้จัดหามาให้พนักงานในสังกัดของโจทก์ไปศึกษาต่อ โดยทุนดังกล่าวเป็นทุนของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้อนุมัติทุนประเภท ๑ ข. (โคลัมโบ)ให้แก่รัฐบาลไทย แล้วรัฐบาลไทยได้มอบทุนดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามความต้องการของโจทก์เพื่อจัดหาพนักงานในสังกัดของโจทก์เข้ารับทุนดังกล่าว โจทก์ได้จัดให้จำเลยที่ ๑ เข้ารับทุนดังกล่าวนี้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศออสเตรเลีย โดยในระหว่างการศึกษานี้ จำเลยที่ ๑ จะเบิกเงินทุนดังกล่าวรวมทั้งเงินเดือน เงินเพิ่มและเงินอื่นของโจทก์ไปใช้จ่าย ทั้งนี้มีกำหนด ๒ ปี ๒ เดือน นับแต่วันที่ ๒๘ธันวาคม ๒๕๒๔ เมื่อจำเลยที่ ๑ สำเร็จการศึกษาหรือการศึกษาดังกล่าวยุติลงจำเลยที่ ๑ ต้องกลับเข้าปฏิบัติงานตามคำสั่งของโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือได้รับอนุมัติให้ศึกษาต่อ ในกรณีที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ จะต้องชดใช้เงินทุนและเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเงินอื่นที่จำเลยที่ ๑ ได้รับจากโจทก์ในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อแก่โจทก์ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๑ จะต้องจ่ายเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่งเท่ากับเงินจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชดใช้คืนให้แก่โจทก์ด้วย โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดต่อโจทก์ว่า หากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ ยอมชดใช้เงินแก่โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ โดยมิต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระก่อน ต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๑ สำเร็จการศึกษาแล้ว ได้กลับมาปฏิบัติงานชดใช้ทุนให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๗ คิดเป็นเวลา ๖ เดือน๒๔ วัน แล้วจำเลยที่ ๑ ขาดงานเกินกว่า ๑๕ วัน โจทก์จึงมีคำสั่งลงโทษให้จำเลยที่ ๑ ออกจากงาน จำเลยที่ ๑ ยังขาดระยะเวลาปฏิบัติงานชดใช้ทุนให้แก่โจทก์รวม ๓ ปี ๙ เดือน ๑๐ วัน จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามสัญญา AUSTRALIANDEVELOPMENT ASSISTANCE BUREAU ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓๗,๙๑๓.๒๕ บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วแต่เพิกเฉยโดยจำเลยที่ ๑ ผิดนัดตั้งแต่วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๙ ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามสัญญาให้แก่โจทก์ คิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์จำนวน ๗๓๗,๙๑๓.๒๕ บาท และดอกเบี้ย ๒๒๑,๓๗๓.๙๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๕๙,๒๘๗.๒๑ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน๙๕๙,๒๘๗.๒๑ บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน๗๓๗,๙๑๓.๒๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ทุนที่จำเลยที่ ๑ได้รับไปนั้นเป็นทุนของประเทศออสเตรเลีย ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์เรียกเบี้ยปรับสูงเกินส่วนเพราะโจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง และโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๕ ต่อปี ในเบี้ยปรับเป็นการมิชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๕๔๗,๔๘๘.๔๐บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ มกราคม๒๕๒๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยเมื่อคิดถึงฟ้องต้องไม่เกิน๒๒๑,๓๗๓.๙๖ บาท ตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ชำระแทน ส่วนคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับทุนศึกษาของรัฐบาลออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบซึ่งให้แก่รัฐบาลไทยไปศึกษา ณ ประเทศออสเตรเลีย ในระดับปริญญาโทวิชาการศึกษาวิทยาศาสตร์ตามความต้องการของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาไปศึกษากับโจทก์ว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ สำเร็จการศึกษาแล้ว จะต้องกลับมาปฏิบัติงานชดใช้ทุนให้แก่โจทก์ต่อไปอีกเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือได้รับอนุมัติให้ไปศึกษา ในกรณีผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ จะชดใช้เงินทุนและหรือเงินเดือน รวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดจำเลยที่ ๑ ได้รับจากโจทก์ในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาคืนให้แก่โจทก์ และจะจ่ายเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชดใช้คืน จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์ว่า ถ้าหากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ ยินยอมชดใช้เงินตามข้อผูกพันที่จำเลยที่ ๑ทำสัญญาไว้กับโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไปศึกษาตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔ ถึงวันที่ ๒๘กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ รวมเวลา ๒ ปี ๒ เดือน ๒ วัน สำเร็จการศึกษาเดินทางกลับมายังประเทศไทยแล้วปฏิบัติงานให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๒๓กันยายน ๒๕๒๗ รวมเวลา ๖ เดือน ๒๔ วัน จำเลยที่ ๑ ได้ละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อในคราวเดียวกันเกินกว่า ๑๕ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๗ โจทก์ได้มีคำสั่งที่ ๐๙๑/๒๕๒๘ ลงโทษให้จำเลยที่ ๑ ออกจากงานตั้งแต่วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๗เป็นต้นไป ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ กำลังศึกษาอยู่ โจทก์ต้องจ่ายเงินเดือนและเงินค่าครองชีพรวม ๑๓๓,๗๗๗.๒๙ บาท และเงินทุนที่จำเลยที่ ๑ ได้รับเป็นเงินไทย๓๖,๐๓๓.๔๗ บาท กับ ๑๒,๖๑๕.๑๓ เหรียญออสเตรเลีย ซึ่งในขณะโจทก์ยื่นคำฟ้องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ๑ เหรียญออสเตรเลีย เท่ากับ ๑๗.๓๔ บาท คิดเป็นเงินไทย๒๑๘,๗๔๖.๓๕ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องชดใช้คืนโจทก์ ๓๘๘,๕๒๗.๑๑ บาทแต่จำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติงานใช้ทุนเป็นเวลา ๖ เดือน ๒๔ วัน คิดเป็นเงิน ๓๕,๓๐๒.๓๕บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาโจทก์มีว่า สมควรลดเบี้ยปรับให้จำเลยทั้งสองเพียงใดหรือไม่ จากข้อนำสืบของโจทก์เห็นว่า โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ระดับโรงเรียนของประเทศ โจทก์จำต้องจัดหาบุคลากรเข้ามาทำงานทางด้านวิทยาการต้องติดต่อขอทุนศึกษาภายใต้แผนโคลัมโบจากกรมวิเทศสหการ เมื่อกรมวิเทศสหการหาทุนได้แล้ว โจทก์จะต้องดำเนินการคัดเลือกผู้ได้รับทุนเสนอไปยังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อผู้ได้รับทุนเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศสำเร็จการศึกษากลับมาแล้ว จะได้นำความรู้กลับมาพัฒนาการศึกษาของชาติต่อไปหากผู้ได้รับทุนบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ย่อมสูญเสียบุคลากรที่ได้สร้างขึ้นมาและสูญเสียเวลาที่จะต้องจัดหาผู้เข้ารับทุนรายอื่นไปศึกษาทดแทน ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานราชการตามที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้ เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับซึ่งไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ การที่สัญญาเอกสารหมาย จ.๙ข้อ ๕ ได้ระบุให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินทุน เงินเดือน และเงินอื่นใดที่จำเลยที่ ๑ได้รับคืนโจทก์ และกำหนดเบี้ยปรับอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑จะต้องชดใช้คืนนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๓๘๓ วรรคหนึ่ง แล้ว เห็นว่า เงินเบี้ยปรับที่โจทก์เรียกร้องมาตามสัญญามิได้สูงเกินส่วนเลย ที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับลงกึ่งหนึ่ง ไม่เหมาะสมแก่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ดังนั้น เมื่อรวมเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องชดใช้คืนโจทก์จำนวน ๓๘๘,๕๒๗.๑๑ บาทแล้ว รวมเป็นเงิน ๗๗๗,๐๕๔.๒๒ บาท จำเลยที่ ๑ปฏิบัติงานใช้ทุนคิดเป็นเงิน ๓๕,๓๐๒.๓๕ บาท เมื่อนำเงินจำนวนนี้หักออกแล้วจึงเป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นเงิน ๗๔๑,๗๕๑.๘๗ บาท แต่โจทก์ฟ้องเรียกเงินมาเพียง ๗๓๗,๙๑๓.๒๕ บาท จำเลยที่ ๑ จึงรับผิดไม่เกินจำนวนเงินในฟ้อง จำเลยที่ ๒ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวต่อโจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดเป็นต้นไป
ปัญหาต่อมาตามฎีกาโจทก์มีว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมายจ.๑๑ ข้อ ๑ ระบุว่า ฯลฯ ถ้าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ ยินยอมชดใช้เงินตามข้อผูกพันที่ระบุไว้ในข้อสัญญาดังกล่าวนั้นให้แก่โจทก์แทนทันที โดยโจทก์มิต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ก่อน เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๒ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันสละสิทธิที่จะขอให้เรียกจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน และสละสิทธิที่จะให้โจทก์บังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๘ และ ๖๘๙ ดังนั้นฐานะของจำเลยที่ ๒ผู้ค้ำประกันในลักษณะนี้จึงต้องรับผิดร่วมกันกับจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๑ หรือนัยหนึ่งจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน๗๓๗,๙๑๓.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ มกราคม๒๕๒๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยเมื่อคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๒๒๑,๓๗๓.๙๖ บาท ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓.

Share