คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงิน ส. และจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันโดย ส.ให้ผู้คัดค้านรับจำนองแทนส. ซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยย่อมกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับสัญญาใดซึ่งผู้คัดค้านทำไว้แทนตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 ดังนั้นเมื่อ ส. ให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นตัวแทนโอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองลำดับหนึ่งให้แก่ผู้ร้องย่อมถือได้ว่า ส. ตัวการได้โอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองลำดับหนึ่งให้แก่ผู้ร้องเช่นกัน การที่ส. ซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อตั้งผู้คัดค้านเป็นตัวแทนไม่ต้องทำหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798วรรคแรก และเมื่อผู้ร้องได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 แล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคแรก แม้ศาลจะมีคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านก็ตาม แต่ผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันผู้ร้อง เมื่อการโอนชอบด้วยกฎหมายผลของการโอนย่อมเป็นไปตามมาตรา 305 ดังนั้น สิทธิจำนองลำดับหนึ่งที่มีต่อจำเลยที่ 1 ย่อมตกแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนด้วย กรณีนี้ไม่อาจถือว่าผู้ร้องเป็นผู้รับโอนได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรมอันอยู่ในบังคับต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 1299 เมื่อผู้ร้องรับโอนหนี้จากผู้รับจำนองอันดับหนึ่งจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองก่อนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 20 ล้านบาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4121ของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้และจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4121 ลำดับหนึ่งไว้กับนางสาวอนงค์พร เศลารักษ์ ในฐานะตัวแทนของนายสมดุลย์สุชาตะประคัลภ์ เป็นเงิน 10 ล้านบาท และจดทะเบียนจำนองลำดับสองไว้กับโจทก์เป็นเงิน 20 ล้านบาท ต่อมานายสมดุลย์ จัดการให้นางสาวอนงค์พรโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ที่มีต่อจำเลยที่ 1 ให้ผู้ร้อง ผู้ร้องได้บอกกล่าวการรับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 แล้วแต่หลักฐานสูญหาย จึงมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวการรับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวและบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1 อีกครั้งหนึ่ง จำเลยที่ 1 ทราบคำบอกกล่าวนั้นแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 4121โดยปลอดการจำนองและระบุข้อความในประกาศด้วยว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า การจดทะเบียนจำนองลำดับหนึ่งระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางสาวอนงค์พรเป็นโมฆะ แต่ผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้มาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา และผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวของศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่มีผลผูกพันผู้ร้องผู้ร้องในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้และสัญญาจำนองลำดับหนึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้เงินกู้จำนวน 10 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดที่ 4121 ลำดับหนึ่งไว้กับนางสาวอนงค์พรเศลารักษ์ ซึ่งมิใช่ตัวแทนของนายสมดุลย์ สุชาตะประคัลภ์สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไม่ได้กล่าวถึงการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ สัญญาดังกล่าวเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองซึ่งไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะนางสาวอนงค์พรไม่เคยให้จำเลยที่ 1 กู้เงินและไม่เคยมีเจตนาทำสัญญาจำนองกับจำเลยที่ 1 แต่นายสมดุลย์เคยนำใบมอบอำนาจที่ดินซึ่งยังไม่กรอกข้อความมาให้นางสาวอนงค์พรลงชื่อ ต่อมาทราบว่ามีการไปจดทะเบียนจำนองที่ดิน นายสมดุลย์สมคบกับผู้ร้องหลอกลวงให้นางสาวอนงค์พรลงชื่อในหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในฐานะผู้รับจำนองที่ดินลำดับหนึ่งให้แก่ผู้ร้อง การโอนสิทธิเรียกร้องไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะสัญญาจำนองที่ดินลำดับหนึ่งไม่มีมูลหนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาจำนองที่ดินลำดับหนึ่งระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางสาวอนงค์พร เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง นิติกรรมจำนองตกเป็นโมฆะผู้ร้องไม่ใช่ผู้รับจำนองจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะรับโอนมาจากนางสาวอนงค์พรผู้ร้องบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องและบังคับจำนองหลังจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาว่าสัญญาจำนองลำดับหนึ่งดังกล่าวเป็นโมฆะและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีผล ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า นิติกรรมจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านได้ถูกเพิกถอนโดยเหตุที่เป็นโมฆะแล้วตามคำพิพากษา นิติกรรมดังกล่าวไม่มีผลตามกฎหมาย ผู้ร้องเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจำนวน 10 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ก่อนเจ้าหนี้สามัญของจำเลยที่ 1 และก่อนโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองลำดับสอง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ยกคำร้องของผู้ร้อง
หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า ขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของผู้ร้องเด็ดขาด ขออนุญาตเข้าว่าความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4121 ตำบลคลองเตยอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ไว้กับผู้คัดค้านในลำดับหนึ่งเป็นประกันหนี้เงินกู้ 10 ล้านบาทและจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวลำดับสองไว้กับโจทก์เป็นประกันหนี้ 20 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15746/2528 ของศาลชั้นต้นว่าการจำนองที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านเป็นโมฆะ และเจ้าพนักงานที่ดินได้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินนั้นแล้ว ผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาดังกล่าว
คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอรับชำระหนี้จำนองก่อนโจทก์หรือไม่ ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของผู้ร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินนายสมดุลย์ และจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4121 ไว้เป็นประกันโดยนายสมดุลย์ได้ให้ผู้คัดค้านเป็นผู้รับจำนองไว้แทนหรือไม่ผู้ร้องเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินนายสมดุลย์จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อนำไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานที่ปรากฏในสารบัญจดทะเบียนโฉนดเลขที่ 4121เอกสารหมาย ร.6 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ แล้วจดทะเบียนจำนองลำดับหนึ่งไว้กับผู้คัดค้านและจดทะเบียนจำนองลำดับสองไว้กับโจทก์ในวันเดียวกันเมื่อข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นเพียงลูกจ้างของบริษัทสุชาต์ธนกิจ จำกัด ซึ่งมีนายสมดุลย์เป็นกรรมการผู้จัดการจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านไม่อยู่ในฐานะที่จะมีเงินให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมและรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของจำเลยที่ 1เป็นจำนวนเงินมากมายถึง 10 ล้านบาท ได้ ยิ่งกว่านั้นผู้ร้องยังมีนายวณิชชา เพ่งสุข พนักงานฝ่ายนิติกรรมของบริษัทสุชาต์ธนกิจจำกัด มาเบิกความสนับสนุนว่า ผู้คัดค้านเป็นพนักงานของบริษัทสุชาต์ธนากิจ จำกัด เช่นเดียวกับพยาน ผู้คัดค้านมีหน้าที่พาลูกค้าของบริษัทไปกู้เงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้พยานไปจำนองที่ดินพิพาทแก่ผู้คัดค้านโดยผู้คัดค้านได้มอบอำนาจให้พยานเป็นผู้รับจำนองแทน ซึ่งพยานได้ดำเนินการตามคำสั่งของนายสมดุลย์หลังจากจดทะเบียนจำนองแล้ว พยานก็ได้นำโฉนดที่ดินพิพาทไปมอบให้แก่นายสมดุลย์ คำเบิกความของนายวณิชชาเช่นนี้ย่อมเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งขึ้น แต่ฝ่ายโจทก์ที่กล่าวอ้างว่าไม่มีการกู้ยืมกันระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายสมดุลย์เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุน ดังนั้นเมื่อได้พิจารณาชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินนายสมดุลย์และจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกัน และนายสมดุลย์ได้ให้ผู้คัดค้านเป็นผู้รับจำนองไว้แทนโดยนายสมดุลย์ได้มอบหมายให้ผู้คัดค้านพนักงานในบริษัทของตนเป็นตัวแทนออกหน้าเป็นผู้รับจำนองแทนนายสมดุลย์ในฐานะตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อนายสมดุลย์ย่อมมีสิทธิที่จะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งผู้คัดค้านตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 ดังนั้นเมื่อนายสมดุลย์ดำเนินการให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นตัวแทนโอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองลำดับหนึ่งให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย ร.5 แล้วย่อมถือได้ว่านายสมดุลย์ตัวการได้โอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองลำดับหนึ่งนั้นให้แก่ผู้ร้องแล้วเช่นกันส่วนคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และคำแก้ฎีกาของโจทก์ที่อ้างว่าการที่นายสมดุลย์แต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นตัวแทนของตนในการจดทะเบียนรับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 และการจัดการให้ผู้คัดค้านในฐานะผู้รับจำนองที่ดินไว้จากจำเลยที่ 1 แทนนายสมดุลย์โอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองให้แก่ผู้ร้อง ล้วนเป็นกิจการที่บังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการทั้งสองประการดังกล่าวจึงต้องทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคหนึ่งนั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงจากการวินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า นายสมดุลย์เป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อ การตั้งผู้คัดค้านเป็นตัวแทนย่อมไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคแรก และนายสมดุลย์ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อย่อมมีสิทธิกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งผู้คัดค้านตัวแทนได้ทำไว้แทนตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806
เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ว่าผู้ร้องได้กล่าวแจ้งการรับโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 แล้วหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากนายดำรงค์คงเสาวภาค พยานผู้ร้องว่าก่อนยื่นคำร้องคดีนี้ ผู้ร้องได้ทำหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ร.1 มอบอำนาจให้นายดำรงค์มีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 แล้วโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังที่ตั้งสำนักงานตามที่จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ ถือได้ว่าได้ส่งหนังสือแจ้งการรับโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 โดยชอบแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้บอกกล่าวแจ้งการรับโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 แล้วการโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคแรก ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ผู้ร้องบอกกล่าวการรับโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ 15746/2528 ว่าสัญญาจำนองลำดับที่หนึ่ง ระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้คัดค้านไม่มีมูลหนี้ต่อกันเป็นโมฆะ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้จำนองเช่นว่านั้น จึงไม่มีสิทธิดีกว่าผู้คัดค้านผู้โอน นั้น เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ 15746/2528ผู้ร้องมิได้เข้าเป็นคู่ความด้วย คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันผู้ร้องคดีนี้แม้ในคดีดังกล่าวศาลฟังว่า สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านในฐานะส่วนตัวเป็นโมฆะ แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าผู้คัดค้านเป็นตัวแทนของนายสมดุลย์ซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ เมื่อนายสมดุลย์กลับแสดงตนเข้ารับเอาสัญญาโดยดำเนินการให้ผู้คัดค้านโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้จำนองลำดับหนึ่งให้แก่ผู้ร้องแล้ว ย่อมแสดงว่าผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้จำนองมาจากนายสมดุลย์ หาใช่รับโอนมาจากผู้คัดค้านในฐานะส่วนตัวไม่ ดังนั้นแม้ว่าผู้ร้องจะบอกกล่าวการรับโอนไปยังจำเลยที่ 1ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วก็ตามการโอนสิทธิเรียกร้องนี้ย่อมมีผลสมบูรณ์
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของผู้ร้องและคำแก้ฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย ร.5 มีผลสมบูรณ์หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องนำสืบและโจทก์มิได้นำสืบโต้เถียงเป็นอย่างอื่นฟังได้ว่านายสมดุลย์กู้ยืมเงินผู้ร้องไปประมาณ 10 ล้านบาท และออกเช็คชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง แต่เมื่อเช็คเริ่มเรียกเก็บเงินไม่ได้ประมาณ 1 ล้านบาท นายสมดุลย์ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ที่มีต่อจำเลยที่ 1 โดยมีสิทธิจำนองเป็นประกันลำดับหนึ่ง จำนวน10 ล้านบาท ให้แก่ผู้ร้องเพื่อชำระหนี้นั้น ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย ร.5 เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวแม้ว่าสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย จ.5 ระบุว่า “ผู้โอนตกลงโอนและผู้รับโอนตกลงรับโอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาจำนองที่ดิน…และมีอำนาจในการรับเงิน รับชำระหนี้สินแทนผู้โอนทุกประการ” หาได้มีข้อความระบุว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่านายสมดุลย์ประสงค์จะโอนหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตนให้ผู้ร้องเพื่อเป็นการชำระหนี้จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ที่นายสมดุลย์มีต่อจำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งผลของการโอนย่อมเป็นไปตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือสิทธิจำนองลำดับหนึ่งที่มีต่อจำเลยที่ 1 อันได้จดทะเบียนไว้แล้วย่อมตกไปได้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนด้วย กรณีเช่นนี้ไม่อาจถือว่าผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันอยู่ในบังคับที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกา ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายวณิชชาพยานผู้ร้องว่า ทั้งผู้คัดค้านและโจทก์ต่างมอบอำนาจให้นายวณิชชาไปจดทะเบียนจำนอง โดยให้นายวณิชชาจดทะเบียนจำนองแก่ผู้คัดค้านเป็นอันดับหนึ่งและจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์เป็นอันดับสอง โจทก์จึงย่อมทราบดีว่ามีผู้มีสิทธิจำนองดีกว่าตนตั้งแต่แรกแล้ว ผู้ร้องรับโอนหนี้จากผู้รับจำนองลำดับที่หนึ่ง จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองก่อนโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น
อนึ่งกรณีนี้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อน จึงเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองด้วยวิธีการพิเศษ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 ดังนั้น ผู้ร้องจึงชอบที่จะได้รับชำระค่าฤชาธรรมเนียมในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ผู้ร้องได้รับชำระเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลจากเงินที่ขายทอดตลาดในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองลำดับหนึ่งก่อนเจ้าหนี้อื่น

Share