คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประกาศกระทรวงการคลังที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ศาลสามารถรับรู้ได้เอง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบ เมื่อทางพิจารณาโจทก์ไม่นำสืบความข้อนี้ให้ปรากฏต่อศาล โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เมื่อโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้ในอัตราร้อยละ19.5 ต่อปีซึ่งเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2526จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาท โดยยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปครบถ้วนในวันทำสัญญานั้นแล้วหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2526 แล้วไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินให้โจทก์อีก โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามจำเลยทั้งสามเพิกเฉย จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันใช้ต้นเงินจำนวน80,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์และไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกันตามฟ้องไม่สมบูรณ์ใช้บังคับจำเลยที่ 3 ไม่ได้ จำเลยที่ 3 ลงชื่อในแบบสัญญาค้ำประกันซึ่งยังไม่มีการกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ค้ำประกันและจำนวนเงินให้ไว้แก่โจทก์ล่วงหน้าก่อนที่โจทก์จะอนุมัติให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์เรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินต้นจำนวน80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสามจะร่วมกันชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ขอถอนฟ้องฎีกา เฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลฎีกาอนุญาต และให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากสารบบความ คดีจึงคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์และจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาเพียงว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีตามฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีนายปาณฑิตศรีศุภอรรถ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความเป็นพยานประกอบพยานเอกสารว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงินและรับซื้อลดเช็ค โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังแล้วตามหนังสืออนุญาตเอกสารหมาย จ.2 โดยปรากฏจากหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1ซึ่งเป็นหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครว่า โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และปรากฏจากหนังสืออนุญาตเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นหนังสืออนุญาตของกระทรวงการคลังว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอนุญาตให้โจทก์ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการเงินทุนจำเลยทั้งสามมิได้นำสืบโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าวของโจทก์เป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นบริษัทเงินทุนซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 3 มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมในอัตราสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ได้เป็นพิเศษตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 4 วรรคสองและวรรคสาม แต่การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวของโจทก์ก็จะต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลังที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กล่าวคือโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลังสำหรับสถาบันการเงินประเภทบริษัทเงินทุนในข้อนี้โจทก์หาได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้ปรากฏว่ามีประกาศกระทรวงการคลังให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมในอัตราสูงสุดซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 19.5 ต่อปี แต่อย่างใด โจทก์คงมีเพียงนายปาณฑิตเบิกความเป็นพยานตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี โดยอาศัยกฎหมายซึ่งเป็นประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้นเมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ฟังได้ว่ามีประกาศกระทรวงการคลังที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ผู้กู้ยืมได้ในอัตราสูงสุดซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 19.5 ต่อปี เช่นนี้ แม้ความจริงจะมีประกาศกระทรวงการคลังให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราดังกล่าวตามที่โจทก์ฎีกาก็ตาม ประกาศของทางราชการในลักษณะเช่นนี้ ก็หาใช้ข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้เองได้ไม่ แต่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่คู่ความมีหน้าที่จะต้องนำสืบ เมื่อทางพิจารณาโจทก์ไม่สืบแสดงให้ความข้อนี้ปรากฏ ทั้งไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เองเช่นนี้แล้ว คดีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้ถึงอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี อันเกินไปจากอัตราปกติที่กฎหมายกำหนด กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีมาปรับแก่คดี การที่โจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ผู้กู้ยืมในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี จึงเดินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ มีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share