คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ อยู่ที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดาที่ต่างจังหวัดกับพี่ชายซึ่งมีอายุ 18 ปี โดยผู้เสียหายฝาก ด.ซึ่งเช่าบ้านอยู่ติดกันเป็นผู้ดูแลและให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนผู้เสียหายไปทำงานที่กรุงเทพมหานครไม่ทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายหมดไป การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนอยู่ที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 31 ปี และมีภรรยากับบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 3 ปี คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนและทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางดำหรือทองดำ ใยดีมาเบิกความว่า จำเลยกับผู้เยาว์คบหากันฉันคนรัก ขณะพยานอยู่ที่บ้านเคยเห็นจำเลยมาหาผู้เยาว์และพาผู้เยาว์นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปด้วยกันบ่อย ๆ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์มาถามหาผู้เยาว์ที่บ้าน แล้วให้ผู้เยาว์นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปโดยมีกระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวไปด้วย จากนั้นไม่เคยกลับมาพักที่บ้านอีก ความข้อนี้โจทก์มีนายอนุสรณ์พี่ชายผู้เยาว์มาเบิกความสนับสนุนว่าพยานทราบเหตุการณ์ดังกล่าวแต่ไม่กล้าบอกผู้เสียหาย เพราะกลัวผู้เสียหายว่าไม่ดูแลน้องสาวขณะเบิกความจำเลยและผู้เยาว์ก็ยังติดต่อกันฉันคนรัก โดยพยานพบผู้เยาว์ที่บ้านจำเลยบ้าง เห็นผู้เยาว์ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จำเลยบ้าง นอกจากนี้โจทก์ยังมีตัวผู้เสียหายและร้อยตำรวจเอกวิบูลย์พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า ก่อนร้อยตำรวจเอกวิบูลย์รับแจ้งความจำเลยได้ยอมทำบันทึกหลักฐานเอกสารหมาย จ.3 ไว้ต่อผู้เสียหายและผู้เยาว์ว่ารักใคร่ชอบพอกับผู้เยาว์และจะสู่ขอต่อผู้เสียหายจำเลยก็นำสืบรับว่าเคยไปตกลงจ่ายเงินสินสอดให้ผู้เสียหายและทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ โจทก์จึงมีทั้งพยานบุคคลและเอกสารมานำสืบประกอบข้ออ้างของตนข้อนำสืบของโจทก์จึงมีน้ำหนักในการรับฟัง เพราะหากไม่เป็นจริงดังที่โจทก์นำสืบก็ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะต้องไปตกลงและทำบันทึกกับผู้เสียหาย พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ คดีฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.1 ว่า ขณะเกิดเหตุนางสาวพุทธชาดผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ อยู่ที่บ้านของผู้เสียหายที่จังหวัดอุตรดิตถ์กับนายอนุสรณ์พี่ชาย ซึ่งมีอายุ 18 ปี ผู้เสียหายฝากนางดำหรือทองดำซึ่งเช่าบ้านอยู่ติดกันเป็นผู้ดูแลและให้เงินเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนผู้เสียหายไปทำงานที่กรุงเทพมหานครไม่ทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายหมดไป ผู้เยาว์ยังคงอยู่ในอำนาจปกครองของผู้เสียหาย การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไป โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยแล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนอยู่ที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา เป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหาย ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 31 ปี และมีภรรยากับบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดนั้น ชอบแล้ว แต่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาผู้เสียหายและจำเลยแถลงว่าได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันตามบันทึกท้ายคำแถลงของทนายจำเลยลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 โดยจำเลยตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจำนวน 100,000 บาท ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยอีกต่อไปประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปรานีรอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share