คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ ง. เรียกเอาทรัพย์มรดกที่ทายาทของ ง. ยึดถือได้ว่าเพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่เป็นการฟ้องคดีมรดก ง. ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2515 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 กันยายน 2530 พ้นกำหนด 10 ปีนับแต่ ง. เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรค 4 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายง่วน แช่มชื้นผู้ตายตามคำสั่งศาล เจ้ามรดกมีที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 14 ตำบลไกรใน อำเภอกางไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เป็นทรัพย์มรดก หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1นำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย 4 แปลง ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3591, 3592, 3593, 3594โดยลงชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำการฉ้อฉลเบียดบังทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกโดยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 3593 ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3โฉนดเลขที่ 3592 และ 3594 ให้แก่จำเลยที่ 4 และที่ 5 และโฉนดเลขที่ 3591 ให้แก่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายง่วน แช่มชื้อ ที่จำเลยที่ 1 ได้โอนให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 และเพิกถอนโอนที่ดินเลขที่ 3591, 3592, 3593 และ 3594 และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์
ระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมแล้วศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นบุตรของนายง่วนผู้ตายและจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2เป็นสามีจำเลยที่ 3 นายง่วนและจำเลยที่ 1 ร่วมกันจับจองที่ดินสองแปลงคือที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 14 หมู่ที่ 2 ตำบลไกรในและที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 7 หมู่ที่ 2 ตำบลไกรใน นายง่วนได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2507ยกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 นายทิมแช่มชื้น และนางมะลิ แช่มชื้น โดยให้มีส่วนคนละเท่า ๆ กันเมื่อปลายปี 2514 ถึงต้นปี 2515 นายง่วนให้จำเลยที่ 1ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จำเลยที่ 1ดำเนินการจนได้โฉนดที่ดินเลขที่ 3591, 3592, 3593 และ 3594จำเลยที่ 1 มิได้เบียดบังทรัพย์มรดก แต่ได้จัดการโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ตามความประสงค์ของนายง่วน จำเลยที่ 2ถึงที่ 7 เข้าครอบครองที่ดินที่ได้รับยกให้โดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลานานเกินกว่า 10ปีแล้ว ที่ดินจึงตกเป็นของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 โดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมหรือเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3591 ถึง 3594 คดีของโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องเกินกว่า 10 ปี นับตั้งแต่นายง่วนถึงแก่กรรม และเกินกว่า 10ปีนับแต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 รับโอนและครอบครองที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายง่วน แช่มชื้นเจ้ามรดกฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกที่ทายาทของเจ้ามรดกยึดถือไว้เพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่ เป็นการฟ้องคดีมรดก ปรากฏว่านายง่วนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2515 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2530 ซึ่งพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่นายง่วนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรค 4 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินโดยยังไม่ได้แบ่งกัน ถือได้ว่าครอบครองทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกแทนทายาทอื่นผู้มีสิทธิรับมรดก โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทของเจ้ามรดกจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้ แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเช่นนั้น ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share