คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447-2448/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ใช้มีดบังตอ ตัวมีดยาว 8 นิ้ว กว้าง 4 นิ้ว ฟันโจทก์ที่ 2 โดยจะฟันที่ศีรษะซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย โจทก์ที่2 ยกมือรับไว้ได้รับบาดแผลที่มือขวาบริเวณระหว่างง่ามนิ้วชี้กับนิ้วกลางด้านหน้าขนาด 1X5 เซนติเมตร ด้านหลังขนาด 1X4เซนติเมตรแสดงว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโดยแรงและจำเลยที่ 2 ยังเงื้อมีดขึ้นใหม่ฟันซ้ำอีก พอดีมีผู้อื่นไปห้ามกระชากโจทก์ที่ 2 ออกไปคงถูกคมมีดเฉี่ยวที่สะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโดยมีเจตนาฆ่าโจทก์ที่ 2 แล้ว.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยสำนวนแรกผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนหลังขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องใจความว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 แล้วใช้ไม้ตีโจทก์ที่ 1 จนได้รับอันตรายแก่กายและใช้มีดปังตอฟันทำร้ายร่างกายโจทก์ที่2 โดยเจตนาฆ่าแต่โจทก์ที่ 2 ไม่ตายคงได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 297, 295, 364, 365, 80, 83,84, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องสำหรับคดีสำนวนที่สองแล้วมีคำสั่งว่าคดีมีมูลทุกข้อหา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 364 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365, 288, 80 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 และมาตรา 288, 80 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามลำดับ โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ปรับ 2,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 56 คำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งสองสำนวนและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันและฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยที่ 2 เป็นภรรยาจำเลยที่ 1 ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นภรรยาโจทก์ที่ 1 บ้านเรือนของทั้งสองฝ่ายตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 20 เมตร เมื่อปี 2525 ทั้งสองฝ่ายพิพาทฟ้องร้องกันเรื่องที่ดินปลูกบัวจึงไม่ถูกกันตลอดมาวันที่ 18 มีนาคม 2528 เวลา 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาที่บริเวณบ้านโจทก์ที่ 1 ที่ 2 แล้วหาว่าโจทก์ที่ 2 ลักไก่ของฝ่ายจำเลย โจทก์ที่ 2 ปฏิเสธเกิดการโต้เถียงกันจำเลยที่ 1 เข้ามาตบโจทก์ที่ 2ซึ่งอยู่ที่หัวบันไดบ้าน โจทก์ที่ 2 จึงใช้ไม้ตีจำเลยที่ 1แต่ไม้หลุดมือจึงถูกจำเลยที่ 1 บีบคอโจทก์ที่ 2 ได้ร้องขอความช่วยเหลือ โจทก์ที่ 1 จึงลงจากบ้านมาห้ามให้เลิกกันก็ถูกจำเลยที่ 1 ถีบล้มลงและใช้ไม้ตีได้รับบาดเจ็บ ระหว่างนี้เองจำเลยที่ 2 ถือมีดลงจากบ้านมายังบริเวณที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับบาดแผลที่มือขวาด้านหน้าขนาด 1 X 5เซนติเมตร ด้านหลังขนาด 1 X 4 เซนติเมตร บริเวณง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง กับได้รับบาดแผลที่สะโพกขวาภายหลังที่แผลหายแล้วศาลได้ตรวจดูและบันทึกไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 สิงหาคม 2529 ว่ามีแผลเป็นยาวประมาณ 3 นิ้ว ตรงง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางทั้งหน้ามือและหลังมือขวากับปรากฏว่าที่สะโพกขวามีรอยแผลเป็นยาวประมาณ 2 นิ้วครึ่ง ภายหลังเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 ได้นำความไปแจ้งต่อร้อยตำรวจโทอรุณ แตงนาราพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครสวรรค์ในวันเกิดเหตุว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโจทก์ที่ 2 ร้อยตำรวจโทอรุณจึงดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 มอบมีดทำครัวตามภาพวาดเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งอ้างว่าเป็นมีดที่ถือไปในวันเกิดเหตุให้ร้อยตำรวจโทอรุณยึดไว้ดำเนินคดีซึ่งโจทก์ที่ 2นายชด สมบูรณ์และนางจำรัส สมบูรณ์พยานรู้เห็นตรวจดูแล้วยืนยันว่า ไม่ใช่มีดที่จำเลยที่ 2 ถือมาในวันเกิดเหตุ มีดที่จำเลยที่ 2 ถือมาในวันนั้นเป็นมีดปังตอตามภาพวาดเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นมีดที่มีตัวมีดยาวถึง 8 นิ้ว กว้าง 4 นิ้ว มีด้ามมีปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโจทก์ที่ 2 โดยเจตนาฆ่าหรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วฝ่ายโจทก์มีนายชด นางจำรัสสองสามีภรรยาซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความสอดคล้องกับโจทก์ที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโจทก์ที่ 2 พยานทั้งสองไม่มีสาเหตุที่จะแกล้งเบิกความให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษทั้งร้อยตำรวจโทอรุณพนักงานสอบสวนเบิกความรับรองว่าหลังเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 และนายชดนำความไปแจ้งเช่นนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนัก ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าบาดแผลที่โจทก์ที่ 2 ได้รับเกิดจากมีดที่นางจำรัสส่งให้เห็นว่าในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.7 จำเลยที่2 มิได้ให้การเช่นนั้นข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันทำร้ายโจทก์ที่ 2 ดังที่โจทก์ฟ้อง เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้รับบาดแผลที่มือขวาจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 เจตนาฟันศีรษะโจทก์ที่2 จึงเอามือรับไว้ดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อได้ความว่าบาดแผลดังกล่าวด้านหน้าขนาด 1 X 5 เซนติเมตร ด้านหลังขนาด 1 X 4 เซนติเมตรบริเวณง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางจึงแสดงว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโจทก์ที่ 2 โดยแรงและเชื่อว่ามีดที่จำเลยที่ 2 ใช้ฟันเป็นมีดปังตอที่มีตัวมีดยาว 8 นิ้ว กว้าง 4 นิ้ว ดังที่โจทก์ที่2 นายชดและนางจำรัสพยานโจทก์ยืนยันเพราะมิฉะนั้นคงไม่เกิดบาดแผลร้ายแรงเช่นนั้น การที่จำเลยที่ 2 เจตนาใช้มีดปังตอซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่ฟันศีรษะซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกายโดยแรงและยังเงื้อมีดขึ้นใหม่แล้วฟันซ้ำ ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันโดยมีเจตนาฆ่าโจทก์ที่ 2 ดังที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน.

Share