แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์มีหลักฐานสัญญาที่ทำขึ้นเป็น 3 ฝ่าย คือ โจทก์ผู้ขายที่ดินฝ่ายหนึ่ง ผู้ซื้อฝ่ายหนึ่ง และผู้รับจ้างปลูกสร้างตึกแถวฝ่ายหนึ่ง แต่การขออนุญาตและการรับเงินค่าก่อสร้างโจทก์เป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้รับเงินทั้งหมด นอกจากนี้การแบ่งเงินชำระเป็นงวดของผู้ซื้อก็ได้คิดรวมทั้งค่าที่ดินและค่าก่อสร้างเข้าด้วยกัน ทั้งยังปรากฏว่าโจทก์ได้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารบนที่ดินก่อนที่ผู้ซื้อจะทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้จัดการขออนุญาตเสียอีก พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงว่าการก่อสร้างตึกแถวรายนี้เป็นการดำเนินการของโจทก์ เงินค่าก่อสร้างจึงเป็นเงินได้หรือรายรับของโจทก์ ที่ดินที่ขายไปโจทก์ได้แลกเปลี่ยนกับกรมธนารักษ์ เมื่อได้รับมาแล้วนำมาแบ่งแยกเป็นแปลง ๆ และปลูกอาคารขาย เป็นการได้ทรัพย์มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรและขายทรัพย์ไปเป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเสียภาษีการค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 เมื่อมีการยื่นรายการแล้ว หากเจ้าพนักงานประเมินจะเรียกไต่สวน ก็ให้เรียกภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันยื่นรายการและเมื่อนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลายื่นรายการจนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บยังอยู่ภายในกำหนด10 ปี เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจประเมินโดยอาศัยบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้ โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินและตึกแถวให้ ส.ภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 อยู่อาศัย แต่ในการจดทะเบียนมีชื่อโจทก์ที่ 2 ภริยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 กับ ส.เป็นผู้ซื้อ เมื่อซื้อแล้วส.ได้เข้าอยู่อาศัยแต่มิได้ย้ายชื่อเข้าในทะเบียนบ้านเมื่อส.แยกทางกับโจทก์ที่ 1 ก็ได้รับเงินไปจำนวนหนึ่ง จึงได้โอนที่ดินและตึกแถวให้โจทก์ที่ 2 แสดงว่าโจทก์ที่ 2 มิได้ซื้อที่ดินและตึกแถวเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ต่อมาโจทก์ที่ 2 ขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวไปในราคาเท่ากับที่ซื้อมา กรณีจึงมิใช่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษีการค้า.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเรียกเก็บจากโจทก์ทั้งสองและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขอให้งดเงินเพิ่มกับเบี้ยปรับ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำเงินได้จากการขายที่ดินและอาคารตึกแถวไปคำนวณเสียภาษี จึงต้องชำระเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินสำหรับการขายที่ดินและตึกแถวที่ถนนนเรศ เขตบางรักกรุงเทพมหานคร ตามแบบ ภ.ค.80 เลขที่ 1037/3/07144 ลงวันที่ 8มกราคม 2531 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 284 ข./2531/1 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2531 ส่วนคำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า เบื้องต้นจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ทั้งสองที่ว่าเงินค่าก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินโฉนดเลขที่ 59 ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เป็นเงินได้หรือรายรับของโจทก์ที่ 2 อันจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าหรือไม่ โจทก์อ้างว่าเป็นเงินได้ของนายยก แซ่ลิ้มผู้รับจ้างสร้างตึกแถวให้แก่ผู้ซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 2 ข้อนี้โจทก์มีหลักฐานสัญญาที่ทำขึ้นเป็น 3 ฝ่าย คือโจทก์ที่ 2 ผู้ขายที่ดินฝ่ายหนึ่ง ผู้ซื้อฝ่ายหนึ่ง ผู้รับจ้างปลูกสร้างตึกแถวฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้จะมีสัญญาดังกล่าวแต่ปรากฏพฤติการณ์อื่นประกอบกับผู้ซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 2 เบิกความว่าได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ที่ 2 และนายยก แซ่ลิ้ม เป็นผู้ก่อสร้างตึกแถว การดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการ เงินที่ชำระราคาทั้งหมดก็ได้ชำระให้โจทก์ที่ 2 เห็นได้ว่าแม้โจทก์ที่ 2 จะได้ทำสัญญาว่านายยกเป็นผู้ทำการก่อสร้าง แต่การขออนุญาตและการรับเงินทั้งค่าที่ดินและค่าก่อสร้าง โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้รับเงินนั้นทั้งหมด นอกจากนี้ การแบ่งเงินชำระเป็นงวด ๆ ก็ได้คิดรวมราคาทั้งที่ดินและค่าก่อสร้างเข้าด้วยกัน สำหรับการขออนุญาตก่อสร้างรายนี้โจทก์ทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นว่าขออนุญาตเมื่อใดเพียงแต่ทำสัญญากันว่าผู้ซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการขออนุญาต โดยทำหนังสือกันเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2521 แต่หลักฐานที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้มาจากเทศบาลเมืองลำปางปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ได้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่59 ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง โดยได้รับอนุญาตตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2521 ก่อนที่โจทก์ที่ 2 จะทำหนังสือกับผู้ซื้อที่ดินเสียอีก พฤติการณ์ทั้งหมดนี้เห็นได้ว่าการก่อสร้างตึกแถวรายนี้เป็นการดำเนินการของโจทก์ที่ 2 เงินค่าก่อสร้างจึงเป็นเงินได้หรือรายรับของโจทก์ที่ 2 ที่ดินที่ขายไปโจทก์ที่ 2 ได้แลกเปลี่ยนกับกรมธนารักษ์ เมื่อได้รับมาแล้วนำมาแบ่งแยกเป็นแปลง ๆและปลูกอาคารขายเป็นการได้ทรัพย์มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรและขายทรัพย์ไปเป็นทางค้าหรือหากำไร อันจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า
อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองประการสุดท้ายมีว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเมื่อพ้น 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ยื่นรายการเสียภาษี คดีขาดอายุความตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 นั้น เห็นว่า มาตรา19 กำหนดว่า ถ้าภายใน 5 ปี นับแต่วันยื่นรายการแล้ว เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการยื่นรายการแล้ว หากเจ้าพนักงานประเมินจะเรียกไต่สวน ก็ให้เรียกภายในกำหนด 5 ปี เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2521-2523 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2522, 31มีนาคม 2523 และ 31 มีนาคม 2524 และเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกเพื่อไต่สวนโดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าโจทก์ยื่นรายการไว้ไม่ถูกต้องเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2524 จึงเป็นการออกหมายเรียกไว้ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นรายการ และเมื่อนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลายื่นรายการจนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2531 แล้วยังอยู่ภายในกำหนด 10 ปี เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินโดยอาศัยอำนาจประเมินโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
ปัญหาข้อต่อไปที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่มีว่าการขายที่ดินและตึกแถวที่ถนนนเรศ เขตบางรัก กรุงเทพมหานครเป็นการขายทรัพย์ไปเป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษีการค้าหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาการได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองเสียก่อน ปรากฏตามคำเบิกความของตัวโจทก์ทั้งสองและนางสาวสายสุณีย์ สุคนพาทิพย์ ว่า โจทก์ที่ 1 ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวดังกล่าวมาให้นางสาวสายสุณีย์ซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 อยู่อาศัยแต่ในการจดทะเบียนมีชื่อโจทก์ที่ 2 กับนางสาวสายสุณีย์เป็นผู้ซื้อ เมื่อซื้อแล้วนางสาวสายสุณีย์ก็ได้เข้าอยู่อาศัย เพียงแต่มิได้ย้ายชื่อเข้าในทะเบียนบ้าน เมื่อนางสาวสายสุณีย์แยกทางกับโจทก์ที่ 1 ก็ได้รับเงินไปจำนวนหนึ่ง จึงได้โอนที่ดินและตึกแถวให้โจทก์ที่ 2 ทั้งหมด เห็นได้ว่าในเบื้องต้นนั้นโจทก์ที่ 2 มิได้ซื้อที่ดินและตึกแถวเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเพราะพยานโจทก์ที่เบิกความยืนยันว่าจะใช้ เพื่ออยู่อาศัยฝ่ายจำเลยก็มิได้มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและตึกแถวเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เพียงแต่ไม่เชื่อว่าโจทก์ทั้งสองจะใช้เพื่ออยู่อาศัย เพราะโจทก์ทั้งสองทำการค้าที่ดิน นางสาวสายสุณีย์มิได้ย้ายชื่อเข้าไปอยู่และโจทก์ที่ 2 ซื้อมาเพียงปีเศษก็ขาย ข้อสันนิษฐานของเจ้าพนักงานประเมินมิได้เป็นข้อที่จะชี้ว่าโจทก์ทั้งสองมีที่ดินบางแปลงเพื่ออยู่อาศัยไม่ได้ การอยู่อาศัยก็ไม่จำต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแต่อย่างใดเมื่อซื้อมาแล้วหากไม่ได้ใช้อยู่อาศัยต่อไปก็อาจจะขายไปในระยะเวลาใดก็ได้ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไปข้อสันนิษฐานของเจ้าพนักงานประเมินไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ในเบื้องต้นจึงรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวมาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรอุทธรณ์จำเลยทั้งสี่โต้เถียงเกี่ยวกับภาษีการค้าจึงต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์ที่ 2 ขายทรัพย์ไปนั้น เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรหรือไม่ โจทก์ทั้งสองนำสืบโดยมีหนังสือสัญญาขายที่ดินประกอบ ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และนางสาวสายสุณีย์ซื้อมาในราคา 600,000 บาท นางสาวสายสุณีย์โอนส่วนของตนให้โจทก์ที่ 2 ราคา 300,000 บาท โจทก์ที่ 2 ขายต่อไปราคา 600,000บาท จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่ามีราคาอื่นนอกเหนือจากเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่าที่ดินและตึกแถวซื้อมาในราคา 600,000 บาทและขายไปราคา 600,000 บาทเท่าเดิม เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ทรัพย์สินมาในเบื้องต้นโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร และต่อมาขายไปราคาเท่าเดิม กรณีเช่นนี้จึงมิใช่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษีการค้า
พิพากษายืน.