คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยมิได้ทำการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 เสียก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเสียแล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้รับผิดในมูลหนี้ละเมิดที่โจทก์รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัย จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน45,276 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยทั้งสามได้ย้ายภูมิลำเนาไปแล้ว การส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและหมายนัดให้จำเลยทั้งสามด้วยการปิดไว้ที่ภูมิลำเนาเดิมจึงไม่ชอบ จำเลยทั้งสามมิได้จงใจขาดนัดพร้อมทั้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์คัดค้านมิให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องครั้นถึงวันนัดไต่สวน ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามได้แถลงรับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2531 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดการไต่สวน และมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าจำเลยทั้งสามมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณานั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยทั้งสามต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสามที่ว่าศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสามโดยมิได้ทำการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 เสียก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อฎีกาของจำเลยทั้งสามต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเสียแล้วฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสามยกขึ้นอ้าง จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสาม

Share