แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้หนี้เดิมจะมาจากมูลหนี้การกู้ยืมเงิน แต่โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม โจทก์จึงไม่จำต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้มาแสดงต่อศาล
หนี้ตามต้นเงินที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ เป็นหนี้จากมูลสัญญาประนีประนอมยอมความ มิใช่หนี้กู้ยืมจึงไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์เรียกหรือคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 112,516,058.89 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้นจำนวน 92,039,067.01 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินต้นจำนวน 92,039,067.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้หักเงินจำนวน 6,000,000 บาท ที่จำเลยนำมาชำระออกจากดอกเบี้ยดังกล่าวก่อน หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11756 เลขที่ดิน 230 ตำบลลาดยาว (บางเขนฝั่งใต้) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 250,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีมูลหนี้มาจากการกู้ยืมเงิน มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม โจทก์จึงไม่จำต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้มาแสดงต่อศาล เมื่อโจทก์มีตัวโจทก์มาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 97,000,000 บาท เพื่อนำไปชำระค่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ซื้อจากบุคคลอื่น การกู้ยืมดังกล่าวไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ แต่จำเลยที่ 3 ได้ออกเช็คในนามของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์คืนเช็คดังกล่าวแก่จำเลยที่ 3 นอกจากนี้โจทก์และนางสาวชโนวรรณ ยังได้เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาประนีประนอมยอมความและจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ลงชื่อในฐานะผู้จำนองในสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมีข้อความระบุด้วยว่า การใดที่ผู้รับมอบอำนาจได้กระทำเพื่อการนี้ ให้ถือเสมือนผู้มอบอำนาจเป็นผู้กระทำเองทั้งสิ้น ซึ่งปรากฏตามเอกสารดังกล่าวว่าทำขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2538 และต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ลงชื่อเป็นผู้กู้และผู้จำนองในสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แม้หนังสือมอบอำนาจจะมิได้ระบุว่ามอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ทำสัญญากับผู้ใด แต่โจทก์นำสืบว่าเป็นการมอบอำนาจให้ทำสัญญากับโจทก์ ส่วนจำเลยทั้งสามมิได้นำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ทำสัญญาและลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าว ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ยอดหนี้ค้างชำระจำนวน 134,730,404 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาจากหนี้กู้และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กับเบี้ยปรับเนื่องจากการชำระหนี้ล่าช้าอีกร้อยละ 3 ต่อปี จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย สัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า หนี้ตามต้นเงินที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับเป็นหนี้จากมูลสัญญาประนีประนอมยอมความมิใช่หนี้กู้ยืมซึ่งไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์เรียกหรือคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี อีกทั้ง ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าจะคิดเนื่องมาจากการชำระหนี้ล่าช้าก็เป็นเบี้ยปรับหาใช่ดอกเบี้ยดังที่จำเลยทั้งสามฎีกาไม่ ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสามที่ว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยอันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย สัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นโมฆะนั้น จำเลยทั้งสามมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 200,000 บาท แทนโจทก์.