แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายอันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 31และ 70 เท่ากับโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 70 วรรคสองอยู่ในตัวแล้ว โจทก์หาจำต้องระบุวรรคของบทมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้องด้วยไม่ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามวรรคในมาตรานั้น ๆ ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ตามคำฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าโดยนำออกให้เช่าซึ่งม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปที่มีผู้ทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 31,70 ซึ่งความผิดดังกล่าวหาได้มีองค์ประกอบความผิดว่า ผู้กระทำผิดจะต้องเป็นผู้ทำซ้ำซึ่งม้วนวิดีโอเทปของกลางด้วยหรือไม่ อีกทั้งโจทก์มิได้มีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยเป็นผู้ทำซ้ำซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นตามมาตรา 27(1),69 ซึ่งเป็นความผิดคนละอย่างกันมาด้วย ดังนั้นโจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ทำซ้ำซึ่งม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปของกลางซึ่งเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดดังที่โจทก์ฟ้องศาลก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทบีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้เสียหายจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่ประเทศไทย และมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยตลอดระยะเวลาในการสร้างสรรค์ โดยเป็นผู้ทำหรือก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์งานประเภทภาพยนตร์เรื่อง “บางระจัน” และได้มีการโฆษณางานดังกล่าวครั้งแรกที่ประเทศไทย จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2544 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกที่หลบหนีอีก 2 คน ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
(ก) จำเลยกับพวกดังกล่าวร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทภาพยนตร์เรื่อง “บางระจัน” ของผู้เสียหาย โดยการนำม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปที่บันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ซึ่งมีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรวมจำนวน 7 ม้วนออกให้เช่า เสนอให้เช่าแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า โดยรู้อยู่แล้วว่าม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย
(ข) จำเลยกับพวกดังกล่าวร่วมกันประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวิดีโอเทปภาพยนตร์ซึ่งบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์ อันเป็นเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจอยู่ที่ร้านโฮมวิดีโอ เลขที่ 1251/3-4 ถนนจันทร์ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทรกรุงเทพมหานคร และได้ประโยชน์ตอบแทนจากราคาจำหน่ายวิดีโอเทปดังกล่าว โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาต
เหตุทั้งหมดเกิดที่แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปซึ่งมีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่จำเลยนำออกให้เช่า เสนอให้เช่าดังกล่าวข้างต้นจำนวน 7 ม้วน และเอกสารสมุดบันทึกการให้เช่าที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดจำนวน 2 แผ่น เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 28, 31, 70, 75, 76 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเอกสารสมุดบันทึกของกลาง ให้ม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปของกลางตกเป็นของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 (ที่ถูกมาตรา 31(1)),70 วรรคสอง และพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530มาตรา 6 (ที่ถูกมาตรา 6 วรรคหนึ่ง), 34 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ลงโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า จำคุก 3 เดือน และปรับ 56,000 บาท ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ5,000 บาท รวมโทษทุกกระทงเป็นจำคุก 3 เดือน และปรับ 61,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน และปรับ 30,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 แต่มิให้กักขังแทนค่าปรับเกิน 1 ปี ให้ม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปของกลางตกเป็นของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และให้จ่ายเงินค่าปรับที่ได้ชำระตามคำพิพากษาฐานละเมิดลิขสิทธิ์เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ริบ (เอกสารสมุดบันทึก) ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”สำหรับความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 34 กำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยไม่เกิน 5,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2539 มาตรา 39 ที่จำเลยอุทธรณ์ในทำนองว่า จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างโดยจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดและมาทำงานรับจ้างอยู่ที่ร้านโฮมวิดีโอที่เกิดเหตุในกรุงเทพมหานคร จำเลยมิได้เป็นเจ้าของร้านโฮมวิดีโอหรือเป็นผู้ประกอบกิจการร้านโฮมวิดีโอ กับจำเลยขาดคุณสมบัติที่จะขอใบอนุญาตประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์นั้น เป็นอุทธรณ์ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศรับฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังมาจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาท้ายอุทธรณ์นั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อต่อมาว่า ที่จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาล (สำหรับความผิดตามฟ้องข้อ (ก)) นั้น เป็นการรับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 70 วรรคหนึ่ง เท่านั้น เพราะโจทก์มิได้ระบุมาในคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 70 วรรคสอง แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 70 วรรคหนึ่งเท่านั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษจำเลยตามมาตรา 70 วรรคสอง จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ตรงกับคำขอท้ายฟ้องเห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาในข้อ (ก) ว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายอันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้าและขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 และ 70 เท่ากับว่าโจทก์ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 70 วรรคสองอยู่ในตัวแล้ว โจทก์หาจำต้องระบุวรรคของบทมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้องด้วยไม่ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามวรรคในมาตรานั้น ๆ ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ตามคำฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลย จำเลยจะมาอุทธรณ์โต้เถียงว่า เมื่อโจทก์มิได้ระบุวรรคในมาตรา 70มาให้ชัดเจนเท่ากับว่า โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง และที่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นการรับสารภาพตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง หาได้ไม่ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 70 วรรคสอง มานั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อต่อมาในทำนองว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าตามคำฟ้อง เนื่องจากจำเลยไม่ทราบว่าม้วนภาพยนตร์วิดีโอของกลางเป็นงานที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างในร้านโฮมวิดีโอที่เกิดเหตุ เมื่อถูกจับกุมและฟ้องร้องต่อศาล จำเลยไม่มีค่าใช้จ่ายมาต่อสู้คดี จึงต้องจำยอมรับสารภาพนั้น เห็นว่า คดีนี้เมื่อศาลออกนั่งพิจารณาจำเลยได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องต่อหน้าศาล จึงต้องฟังว่า จำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ และคดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดจริงดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยจะมาอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องอีกหาได้ไม่เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อต่อมาอีกว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยการนำม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปที่มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรวมจำนวน 7 ม้วน (ออกให้เช่าและเสนอให้เช่า) นั้น คำฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ทำซ้ำ ฉะนั้น ม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปรวมจำนวน 7 ม้วน ของกลาง จึงไม่ใช่จำเลยเป็นผู้ทำซ้ำ จำเลยจึงไม่มีความผิด เห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าโดยนำออกให้เช่าและเสนอให้เช่าซึ่งม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปที่มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31, 70ซึ่งความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้มีองค์ประกอบความผิดว่า ผู้กระทำความผิดจะต้องเป็นผู้ทำซ้ำซึ่งม้วนวิดีโอเทปของกลางด้วยไม่ อีกทั้งคดีนี้โจทก์ก็ไม่มีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยเป็นผู้ทำซ้ำซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นตามมาตรา 27(1), 69 ซึ่งเป็นความผิดคนละอย่างกันมาด้วย ดังนั้น คดีนี้โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ทำซ้ำซึ่งม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปของกลาง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง ศาลจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วที่จำเลยอ้างมาในอุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่าวันเวลากระทำความผิดที่โจทก์ระบุมาในคำฟ้องว่า วันที่ 9 เมษายน 2544 เวลากลางวัน ขัดกับข้อความถัดไปที่ระบุว่า “ได้มีผู้ทำซ้ำ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีการทำซ้ำก่อนวันที่ 9 เมษายน 2544 วันเวลาที่กระทำความผิดที่โจทก์กล่าวในฟ้องจึงไม่ถูกต้อง ไม่อาจลงโทษจำเลยได้นั้นจึงถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายซึ่งอ้างอิงข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายขอให้ลงโทษปรับจำเลยสำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการค้าในสถานเบานั้น เห็นว่า ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า โดยนำออกให้เช่าและเสนอให้เช่าซึ่งงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นตามฟ้องข้อ (ก) นั้น กฎหมายได้กำหนดโทษผู้กระทำความผิดในส่วนของโทษปรับให้ปรับตั้งแต่ 50,000 บาท ถึง 400,000 บาท แม้คดีนี้จำเลยจะให้การรับสารภาพแต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยกลับอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมามากมายหลายประการซึ่งไม่มีเหตุผลเพียงพอให้รับฟังได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยหาได้สำนึกในความผิดไม่ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษจำเลยในส่วนของโทษปรับ ให้ปรับ 56,000 บาท ซึ่งสูงกว่าอัตราโทษปรับขั้นต่ำเล็กน้อย นับว่าเหมาะสมแก่ความผิดของจำเลยแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอีก อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
แต่อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เห็นว่า จำเลยร่วมกับพวกมีม้วนภาพยนตร์วิดีโอเทปที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายไว้เพื่อเสนอให้เช่า จำนวนเพียง 7 ม้วนเท่านั้น เป็นพฤติการณ์ที่ไม่ร้ายแรงนัก ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า นอกจากลงโทษปรับจำเลยแล้วยังลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือนอีกสถานหนึ่งนั้นนับว่าหนักเกินไป เห็นสมควรแก้ไขกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่ความผิดของจำเลยโดยให้งดลงโทษจำคุกจำเลยเสีย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ลงโทษจำคุกจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง