แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องของโจทก์ตอนแรกบรรยายว่าได้มีผู้บังอาจปลอมใบเสร็จรับเงินและฟ้องตอนหลังกล่าวว่า จำเลยบังอาจสมคบกันปลอมใบเสร็จรับเงินนั้นเป็นการกล่าวว่ามีผู้ปลอมใบเสร็จรับเงินซึ่งหมายรวมถึงตัวจำเลยเป็นผู้ปลอมด้วย ข้อเท็จจริงในฟ้องจึงหาขัดกันไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงปลอมหนังสือและใช้หนังสือปลอม
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 223, 304, 63 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 264, 268, 91แต่ให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 อันเป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้กระทงละ 8 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวมเป็นโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือนของกลางริบ และให้จำเลยที่ 2ใช้เงินแก่ผู้เสียหายและยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 2มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 223, 304 ให้จำคุกจำเลยที่ 2กระทงละ 8 เดือนรวม 2 กระทง 1 ปี 4 เดือน นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายว่าได้มีผู้บังอาจปลอมใบเสร็จรับเงินในฟ้องข้อ 1ข. ส่วนในฟ้องข้อ 1ค. กลับว่าจำเลยบังอาจสมคบกันปลอมเป็นฟ้องที่ขัดกันเองนั้นเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงว่ามีผู้ปลอมซึ่งหมายความรวมทั้งตัวจำเลยเป็นผู้ปลอมด้วย โจทก์กล่าวตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏข้อเท็จจริงไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างไร
พิพากษายืน