คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5638/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธติดตัวได้เข้าไปในบริเวณบ้านของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุสมควร ถือว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เมื่อจำเลยมาพบเข้า โจทก์ร่วมก็วิ่งหนีออกมาเหตุละเมิดจึงหมดไป การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมด้านหลัง ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วม จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่าหากกระสุนปืนถูกโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมย่อมได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เมื่อการกระทำนั้นไม่บรรลุผลจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญและแพทย์ทำการรักษาผู้เสียหายทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80และคืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายอุดร ศรีถาวร ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 69 จำคุก 2 ปี คืนของกลางแก่โจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมกลับจากธุระแล้วเดินผ่านบ้านนายบุญเพ็งเชิมชัยภูมิ ได้ยินเสียงนายบุญเพ็ง พูดทางเครื่องขยายเสียง จึงเข้าไปดู ขณะนั้นจำเลยซึ่งเป็นน้อยภริยาของนายบุญเพ็ง อ้างว่ากำลังเดินตรวจอยู่เห็นชายสามคนเข้ามาในบริเวณบ้านนายบุญเพ็ง ชายคนหนึ่งใช้ก้อนหินขว้างหลังคาบ้านนายบุญเพ็ง และชายอีกคนหนึ่งถืออาวุธปืนลูกซองยาววิ่งเข้ามาและทำท่าจะยิงจำเลย จำเลยยิงสวนไป 1 นัดต่อมาทราบว่ากระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บ จำเลยแจ้งเรื่องให้นายบุญเพ็ง ทราบ นายบุญเพ็ง อ้างว่าไม่ทราบว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นจะถูกผู้ใด แต่ทราบว่าโจทก์ร่วมถูกยิงได้รับบาดเจ็บจึงแจ้งความว่าโจทก์ร่วมบุกรุก พนักงานสอบสวนได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยเลือดที่บริเวณบ้านนายบุญเพ็ง และที่บริเวณบ้านโจทก์ร่วมกับทราบว่าโจทก์ร่วมถูกยิงได้รับบาดเจ็บและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนองบัวแดง จำเลยรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ที่เข้ามาในบริเวณบ้านนายบุญเพ็ง จริง แต่เป็นการป้องกัน มีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่าหลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยได้แจ้งและเล่ารายละเอียดให้นายบุญเพ็ง ทราบว่าได้ยิงคนร้าย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ จำเลยก็ได้เล่ารายละเอียดและนำชี้ที่เกิดเหตุ น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมได้เข้าไปในบริเวณบ้านนายบุญเพ็ง ในคืนเกิดเหตุ ปัญหาว่าโจทก์ร่วมไปกับพวกอีก 2 คนหรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่นายบุญเพ็งกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมบุกรุกนั้น ไม่ปรากฏว่ามีพวกของโจทก์ร่วมถูกดำเนินคดีด้วย คงดำเนินคดีเฉพาะโจทก์ร่วมแต่เพียงผู้เดียวและจำเลยได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ร่วมว่า ขณะที่ยิงปืนจำเลยจ้องเล็งไปทางโจทก์ร่วมซึ่งกำลังวิ่งหนี ส่วนอีกสองคนนั้นจำเลยไม่ได้เล็งปืนไปเพราะไม่ได้วิ่งหนี ซึ่งขัดกับคำเบิกความของจำเลยที่ได้ตอบคำซักถามของทนายจำเลยว่าชายคนที่ขว้างหันหลังทำท่าจะหลบหนี แต่ชายอีกคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ริม รั้ววิ่งเข้ามาหาจำเลยและมีอาวุธปืนลูกซองยาวติดตัวมาด้วย ชายคนนั้นยกอาวุธปืนขึ้นทำท่าจะยิงจำเลย จำเลยจึงยิงสวนออกไป 1 นัดเข้าใจว่าคงถูกคนใดคนหนึ่งในสามคนนั้น น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว เพราะหากโจทก์ร่วมวิ่งหนีแล้ว พวกของโจทก์ร่วมยังอยู่อีก 2 คน จำเลยไม่น่าจะยิงคนที่กำลังวิ่งหนี ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ลักษณะบาดแผลที่โจทก์ร่วมถูกยิงด้านหลัง แสดงว่าโจทก์ร่วมถูกยิงขณะกำลังวิ่งหนีออกจากบริเวณบ้านของนายบุญเพ็ง การที่โจทก์ร่วมเข้าไปในบริเวณบ้านของนายบุญเพ็ง ในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุสมควรอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยมาพบโจทก์ร่วมก็ได้วิ่งหนีออกมา เหตุละเมิดดังกล่าวจึงหมดไปแล้ว ประกอบกับข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีอาวุธติดตัวไปในที่เกิดเหตุ จำเลยจึงไม่ต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดขึ้นจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะภยันตรายดังกล่าวพ้นไปแล้ว จำเลยน่าจะใช้วิธีอื่นเพื่อจับกุมตัวโจทก์ร่วมมาดำเนินคดีเท่านั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมด้านหลังขณะที่โจทก์ร่วมกำลังวิ่งหนี จึงไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นว่าหากกระสุนปืนไปถูกโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์ร่วมย่อมได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เพราะเป็นอาวุธที่ร้ายแรง เมื่อการกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญและแพทย์ทำการรักษาโจทก์ร่วมได้ทันโจทก์ร่วมจึงไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามนั้นเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share