คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2518 ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยไม่ตกเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 36 ทวิซึ่งเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาตามกฎหมายอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 3(2) จึงไม่ใช่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(1)การตัดและทอนต้นมะม่วงป่าอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ในที่ดิน ส.ป.ก.ย่อมไม่เป็นการทำไม้ตามความหมายของมาตรา 4(5) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 เป็นผลให้การได้ไม้มะม่วงป่าที่ยังไม่ได้แปรรูปเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าต้นมะม่วงป่าขึ้นอยู่ในที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิดดังกล่าวข้างต้นการที่จำเลยมีไม้มะม่วงป่าซึ่งยังไม่ได้แปรรูปดังกล่าว จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2540 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามร่วมกันมีไม้มะม่วงป่าซึ่งยังมิได้แปรรูป อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน 6 ท่อน ปริมาตร 8.58 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครองโดยไม้เหล่านี้ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายและจำเลยทั้งสามพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลเจดีย์ชัย อำเภอปัว จังหวัดน่าน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 32 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2), 74 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสาม คนละ 8 เดือน ริบของกลาง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบของกลาง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5วินิจฉัยแล้วโดยคู่ความมิได้ฎีกาคัดค้านว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสามร่วมกันมีไม้มะม่วงป่าซึ่งยังมิได้แปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน 6 ท่อน ปริมาตร 8.58 ลูกบาศก์เมตรของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย โดยได้มาจากการที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตัดและทอนต้นมะม่วงป่าที่ขึ้นอยู่ในเขตป่าชุมชน โจทก์ฎีกาอ้างว่า ต้นมะม่วงป่าเจริญเติบโตอยู่ในป่ามาก่อน จำเลยที่ 2 เข้าไปทำกินและจับจองที่ดินเพื่อใช้สิทธิตามกฎหมาย ส.ป.ก. 4-01 จำเลยที่ 2 จะต้องทราบแนวเขตที่ดินของตนเองอย่างชัดเจน หากไม่แน่ใจก็ย่อมขอให้เจ้าพนักงานเข้าไปตรวจสอบแนวเขตเสียก่อนตัดต้นไม้นั้น และจำเลยทั้งสามมีภาระต้องพิสูจน์ว่าได้ไม้มะม่วงป่าของกลางมาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยทั้งสามไม่ได้พิสูจน์ว่าได้ไม้มะม่วงป่าของกลางมาโดยชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะรับฟังว่าจำเลยทั้งสามขาดเจตนาไม่ได้นั้น เห็นว่าต้นมะม่วงของกลางขึ้นอยู่ใกล้แนวเขตที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์มาก ห่างเพียง 1.50 เมตร จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างว่าต้นมะม่วงป่าของกลางขึ้นอยู่ในเขตที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2เข้าทำประโยชน์ตั้งแต่ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด นอกจากนี้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายแสดงแนวเขตที่ป่าชุมชนเอาไว้ด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตัดต้นมะม่วงป่าของกลางโดยเปิดเผยในเวลากลางวันย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 สำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าต้นมะม่วงป่าของกลางขึ้นอยู่ในเขตที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์เมื่อจำเลยที่ 2 มีความมั่นใจดังกล่าวแล้วจึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2ไม่ได้ไปขอให้เจ้าพนักงานมาตรวจสอบแนวเขตก่อนกรณีนี้หากต้นมะม่วงป่าของกลางขึ้นอยู่ในที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์อันเป็นที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ส.ป.ก. จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยไม่ตกเป็นที่ราชพัสดุ ตามมาตรา 36 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาตามกฎหมายอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3(2) จึงไม่ใช่ป่าตามความหมายของมาตรา 4(1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484การตัดและทอนต้นมะม่วงป่าอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ในที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์ซึ่งไม่ใช่ป่าก็จะไม่เป็นทำไม้ตามความหมายของมาตรา 4(5) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 อันไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484ย่อมเป็นผลให้การได้ไม้มะม่วงป่าของกลางที่ยังไม่ได้แปรรูปเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 สำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าต้นมะม่วงป่าของกลางขึ้นอยู่ในที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์ ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตัดต้นมะม่วงป่าของกลางเนื่องจากเชื่อจำเลยที่ 2 ว่า ต้นมะม่วงป่าของกลางอยู่ในที่ดินที่ ส.ป.ก. อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนที่จำเลยทั้งสามสำคัญผิดนี้ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิดดังกล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share