คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5464/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วนแสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่1ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่1ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่2ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่2ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่1ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่2ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่2ว่าจำเลยที่2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่1ทำไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องต่อมาจำเลยที่1ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหายจำเลยที่2จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่1ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่2จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่1ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 433,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องรกว่าจะชำระต้นเงินครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์รถยนต์บรรทุกคันที่เช่าซื้อเกิดอุบัติเหตุ ใช้เวลาซ่อม 6 เดือนหลังจากซ่อมเสร็จจำเลยที่ 1 นำรถไปคืนให้โจทก์และชำระค่าเช่าซื้อในส่วนที่ขาดให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่มีข้อสัญญาผูกพันกันอีกนับแต่วันที่คืนรถยนต์แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เพียงแต่เซ็นชื่อไว้ในสัญญาค้ำประกันลอย ๆ ไม่มีคู่สัญญาอื่น จำเลยที่ 2 ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์และจำเลยที่ 1 สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 230,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2หรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.6 ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วนแสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเพียงแต่มิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และชื่อของจำเลยที่ 1 ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวปรากฏว่าเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อทั้งนายจำนวน ฉุ่นประดับ พนักงานฝ่ายกฎหมายในบริษัทโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ตกลงเข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันพิพาทกับโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6จำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า ได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.6 จริง จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่สัญญาและเจ้าหนี้ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น ประเด็นข้อสอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหายจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย คำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่ 2 จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
พิพากษายืน

Share