คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9752/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จดหมายท้ายคำร้องที่โจทก์ทั้งสามอนุญาตให้รวมไว้ในสำนวนโดยอ้างว่าเพิ่งพบหลังจากมีการสืบพยานโจทก์ทั้งสามและสืบพยานจำเลยทั้งสี่เสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ศาลชั้นต้นไม่ได้นับไว้เป็นพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์ทั้งสาม และฝ่ายจำเลยทั้งสี่ไม่มีโอกาสนำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสามยกขึ้นอ้างนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และ ณ. ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่โดยโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ให้บังคับตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ณ. และ ก. คนละ 1 ส่วนเท่า ๆ กัน กับขอให้พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ โดยจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องพิจารณาจากผลได้ประโยชน์ของฝ่ายโจทก์ทั้งสามประกอบผลเสียประโยชน์ของฝ่ายจำเลยทั้งสี่หากโจทก์ทั้งสามชนะคดีเป็นเกณฑ์

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ให้พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 มีผลบังคับ และให้จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนายบุญส่ง ผู้ตาย
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และนายณรงค์ ซึ่งเดิมชื่อนายดำรงค์ เป็นบุตรของนายบุญส่ง ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2550 กับนางแฉล้ม ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นภริยาของนายณรงค์ นายณรงค์ถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2553 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งต่อศาลชั้นต้นโดยอ้างในคำร้องขอว่านายบุญส่งไม่ได้ทำพินัยกรรมและมีที่ดินโฉนดเลขที่ 8184 และ 8185 ตำบลลาดกระบัง (คลองประเวศบุรีรมย์) อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร เป็นทรัพย์มรดกของนายบุญส่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 135/2555 โดยนางสาวจีริสุมัย ทนายความของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ 1 ทราบตามหนังสือลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 ในวันนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 2 เมษายน 2555 โจทก์ที่ 1 ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า ตามที่โจทก์ที่ 1 อ้างในคำร้องขอว่านายบุญส่งไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้นั้นแท้จริงนายบุญส่งทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองไว้ที่เขตลาดกระบัง และโจทก์ที่ 1 ประสงค์ขอให้ตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งตามสำเนาคำแถลง ศาลจึงให้เลื่อนการไต่สวนคำร้องไปเพื่อรอฟังผลพินัยกรรม ในวันเดียวกันโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสี่พร้อมนางแฉล้มไปที่สำนักงานเขตลาดกระบัง แล้วเจ้าหน้าที่ได้เปิดพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของนายบุญส่ง ฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ที่มีข้อความระบุว่า เมื่อนายบุญส่งถึงแก่ความตายแล้ว ขอยกที่ดินโฉนดเลขที่ 4184 และ 4185 พร้อมบ้าน 1 หลัง ให้แก่บุตร 8 คน คนละ 1 ส่วน กับให้ตั้งโจทก์ที่ 1 ซึ่งเดิมชื่อ นางนันทนา เป็นผู้จัดการมรดกตามสำเนาพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองซึ่งนำมาอ่านให้ทายาทของนายบุญส่งฟัง ครั้นถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 อันเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องที่เลื่อนมาโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำคัดค้านเป็นขอให้ตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งตามพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของนายบุญส่งฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ส่วนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำร้องขอฉบับเดิมเป็นขอให้ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งตามพินัยกรรมของนายบุญส่ง ฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า เพิ่งทราบว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมไว้ 2 ฉบับ คือพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 กับพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ซึ่งให้ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายฟ้องคดีแบบมีข้อพิพาทกันแล้วถอนคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกต่อไป สำหรับพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ที่จำเลยที่ 1 อ้างดังกล่าว คือ พินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีคู่ฉบับเป็นพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 มีลายมือชื่อนายอภิชาติกับนางสาวศิริวรรณ เป็นพยานในพินัยกรรม โดยมีข้อความในพินัยกรรมระบุว่ายกที่ดินโฉนดเลขที่ 4184 และ 4185 ตามเนื้อที่เท่ากันในลักษณะแปลงที่กำหนดไว้ในแผนที่สังเขปแนบท้ายพินัยกรรมให้แก่บุตร 6 คน โดยไม่มีชื่อโจทก์ที่ 1 และนางสาวกุลตลา ซึ่งปรากฏตามบัญชีเครือญาติ ว่าหายสาบสูญไปเมื่อปี 2537 เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมด้วย กำหนดให้ผู้รับมรดกทุกคนมีหน้าที่ออกค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาบ้านเลขที่ 34 (ภายหลังเปลี่ยนเลขที่บ้านใหม่เป็นเลขที่ 1459) กับสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่ในที่ดินโดยมีสิทธิใช้ประโยชน์ร่วมกันตลอดชีวิต และระบุให้ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม โจทก์ที่ 1 แต่งงานแล้วแยกครอบครัวไปอยู่กับสามีตั้งแต่ปี 2531 นางแฉล้มเคยร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ที่ 1 ในข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2543 โดยกล่าวหาว่าโจทก์ที่ 1 ยักยอกเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารของนางแฉล้มไป 3,800,000 บาทเศษ โจทก์ที่ 1 คืนเงินให้นางแฉล้มประมาณ 1,700,000 บาท แล้วนางแฉล้มถอนคำร้องทุกข์ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ปัจจุบันนางแฉล้มยังมีชีวิตและพัก อยู่ที่บ้านเลขที่ 1459 ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4184 และ 4185 ระหว่างการพิจารณาศาลชั้นต้นส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อนายบุญส่งที่แท้จริงหลายฉบับกับพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตามที่โจทก์ทั้งสามขอเพื่อตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนายบุญส่งที่ปรากฏว่าเป็นของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญของศาลประจำสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจพิสูจน์แล้วมีความเห็นว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันตามรายงานผลการตรวจพิสูจน์พยานเอกสารรายงานที่ รพ. 070/2556 ลงวันที่ 25 กันยายน 2556
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามเป็นประการแรกว่า พินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 เป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ โจทก์ทั้งสามมีพยาน 2 ปาก คือโจทก์ที่ 1 และที่ 3 เบิกความตรงกันว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 3 เชื่อว่าพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 เป็นพินัยกรรมปลอมเพราะไม่มีเหตุผลใดที่นายบุญส่งจะตัดโจทก์ที่ 1 มิให้มีส่วนได้รับมรดกของนายบุญส่งด้วย เนื่องจากนายบุญส่งไม่เคยโกรธหรือเกลียดโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ก็ช่วยดูแลนายบุญส่งเรื่อยมา โดยโจทก์ที่ 1 เบิกความว่า ในช่วงปี 2540 ถึง 2547 พยานโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของนายบุญส่งเดือนละ 2,000 ถึง 5,000 บาท ทุกเดือนตามใบฝากเงินธนาคารออมสิน พยานเป็นผู้พานายบุญส่งไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลรามคำแหงตลอดมาโดยตามสำเนาประวัติการรักษานายบุญส่ง หน้าหลังก็ปรากฏชื่อพยานเป็นผู้รับยา นางสาวจีริสุมัยแจ้งว่าเมื่อศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งแล้วก็จะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่พยานและทายาทอื่นต่อไป จำเลยทั้งสี่ไม่เคยบอกพยานว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมตัดพยานมิให้ได้รับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 4184 และ 4185 ด้วย จำเลยที่ 1 ส่งพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ต่อศาลโดยไม่มีซองที่บรรจุปิดผนึกลงลายมือชื่อนายบุญส่งกำกับ ส่วนพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 ที่พยานขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกมาจากนายอภิชาตก็ไม่มีการบรรจุซองปิดผนึกลงลายมือชื่อนายบุญส่งกำกับไว้เช่นกัน ลายมือชื่อนายบุญส่งในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 มีลายเส้นและมีหมึกแตกต่างกันตลอดจนใช้กระดาษที่แตกต่างกัน พยาน เชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำปลอมพินัยกรรมดังกล่าว และโจทก์ที่ 3 เบิกความว่า พยานมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 1459 หรือ 34 เดิม ซึ่งเป็นบ้านนายบุญส่งและนางแฉล้ม พยานกับนายอภิชาติเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจากจบการศึกษาแล้วพยานบวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่ปี 2534 แล้วสึกในปี 2544 จากนั้นพยานมาพักอยู่ที่บ้านเลขที่ 34 บ้าง และไปพักอาศัยที่บ้านเพื่อนบ้างโดยยังติดต่อกับนายอภิชาติ ประมาณปี 2548 นายอภิชาติชวนพยานไปพักที่บ้านนายอภิชาตและช่วยทำงานที่สำนักงานทนายความของนายอภิชาติซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จ ในสำนักงานทนายความนั้นมีนางสาวจีริสุมัยเป็นทนายความประจำอยู่ด้วย ต่อมาปี 2553 พยานออกจากบ้านนายอภิชาตไปอยู่กับภริยานอกสมรสที่จังหวัดสระบุรี นายอภิชาติไม่เคยบอกพยานว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมไว้ ส่วนจำเลยทั้งสี่มีพยาน 4 ปาก คือ จำเลยที่ 1 และที่ 2 นางสาวศิริวรรณและนายอภิชาติ โดยจำเลยที่ 1 เบิกความว่า นายบุญส่งและนางแฉล้มจดทะเบียนสมรสกันเมื่อประมาณปี 2489 และมีบุตรด้วยกัน 8 คน โดยพยานเป็นบุตรคนโต พยานยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งโดยเข้าใจว่านายบุญส่งไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ หลังจากวันที่ 2 เมษายน 2555 แล้วพยานทราบจากจำเลยที่ 2 ว่าเพิ่งพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ในห้องที่เคยเป็นห้องนอนนายบุญส่ง จากนั้นระหว่างการพิจารณาในคดีนี้จึงทราบว่าพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 มีคู่ฉบับเป็นพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 อยู่ที่นายอภิชาติ พยานและจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ได้ปลอมพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 นายอภิชาติเป็นเพื่อนของโจทก์ที่ 3 และเคยมาพักอาศัยที่บ้านเลขที่ 34 เมื่อประมาณปี 2530 ถึง 2533 นายอภิชาตรู้จักคุ้นเคยกับนายบุญส่งและนางแฉล้มดี จำเลยที่ 2 เบิกความว่า เดิมพยานไม่เคยทราบว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมไว้ พยานเป็นผู้พบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ในห้องนอนนายบุญส่ง เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2555 พยานกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ปลอมพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 นางสาวศิริวรรณเบิกความว่า พยานเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ขณะนั้นพยานเป็นทนายความอยู่ที่สำนักงานทนายความของนายอภิชาติ พยานเคยเห็นนายบุญส่งไปปรึกษาเรื่องการทำพินัยกรรมกับนายอภิชาตที่ สำนักงานทนายความของนายอภิชาติ แต่พยานไม่ได้ร่วมฟังด้วย ต่อมาพยานไปที่บ้านนายบุญส่งกับนายอภิชาติ นายอภิชาติอ่านข้อความในพินัยกรรมที่นายอภิชาติจัดพิมพ์ไปให้นายบุญส่งฟัง นายบุญส่งพูดว่าตรงตามที่พูดคุยกันแล้วจึงมีการลงลายมือชื่อในพินัยกรรม 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเก็บไว้ที่นายบุญส่ง ส่วนอีกหนึ่งฉบับเก็บไว้ที่นายอภิชาติ พยานลาออกจากสำนักงานทนายความของนายอภิชาติมาประมาณ 8 ถึง 9 ปี แล้ว และนายอภิชาติเบิกความว่า พยานรู้จักสนิทสนมกับนายบุญส่งและนางแฉล้ม เนื่องจากพยานเป็นเพื่อนโจทก์ที่ 3 และเคยไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของบุคคลทั้งสองในช่วงปี 2529 ถึง 2532 ในปี 2544 นายบุญส่งมักมาปรับทุกข์กับพยานว่าบุตรของนายบุญส่งไม่ค่อยสามัคคีกันและนายบุญส่งไม่ต้องการให้บุตรแบ่งแยกทรัพย์สินกัน พยานเป็นผู้จัดทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ตามรายละเอียดที่นายบุญส่งเขียนมาให้ทำพินัยกรรม นายบุญส่งพูดเปรยให้พยานฟังว่า “อุ๊” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของโจทก์ที่ 1 เอาเงินจำนวนหลักล้านของนางแฉล้มไปทำอะไรก็ไม่ทราบ เมื่อพยานจัดทำพินัยกรรมเสร็จแล้วจึงนำไปอ่านให้นายบุญส่งฟังกับให้นายบุญส่งอ่านเองที่บ้านนายบุญส่ง จากพยานโจทก์ทั้งสามและพยานจำเลยทั้งสี่ข้างต้น ตามที่โจทก์ทั้งสามฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่ามิได้พิจารณาถึงเหตุผลจากกรณีแวดล้อม และความพิรุธแห่งการกระทำของฝ่ายจำเลยทั้งสี่ประกอบการวินิจฉัยให้แก่ฝ่ายโจทก์ทั้งสาม โดยที่โจทก์ทั้งสามอ้างในฎีกาว่า ทางนำสืบฝ่ายจำเลยทั้งสามปรากฏว่านางสาวศิริวรรณเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า ในวันที่ไปลงลายมือเป็นพยานในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 นางสาวศิริวรรณพบนายบุญส่งกับนางแฉล้มอยู่ที่บ้านนายบุญส่งเพียงสองคน นอกนั้นนางสาวศิริวรรณไม่เห็นผู้ใดอีก แต่นายอภิชาตผู้พิมพ์พินัยกรรมและเป็นพยานในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 อีกคนหนึ่งกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า วันดังกล่าวมีโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคนหูหนวกกับนางแฉล้มอยู่ที่บ้านนายบุญส่งด้วย พยานจำเลยทั้งสามในส่วนนี้เป็นพิรุธ นั้น เห็นว่า จากคำเบิกความของนางสาวศิริวรรณที่ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามติงได้ความว่า การลงลายมือชื่อในพินัยกรรมกระทำกันที่บริเวณริมน้ำโดยเวลานั้นนางแฉล้มอยู่ในบ้าน ซึ่งทนายโจทก์ทั้งสามมิได้ถามค้านนายอภิชาตให้ได้ ความชัดเจนว่านายอภิชาติเห็นโจทก์ที่ 2 ที่จุดใดและขณะนั้นนางสาวศิริวรรณมีโอกาสเห็นโจทก์ที่ 2 ด้วยหรือไม่ จึงยังถือไม่ได้ว่าคำเบิกความของนางสาวศิริวรรณกับนายอภิชาติในส่วนนี้มีข้อแตกต่างในสาระสำคัญที่เป็นพิรุธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสามในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ทั้งสามอ้างในฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เบิกความถึงเวลาที่มีการพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ว่าจำเลยที่ 2 นำพินัยกรรมดังกล่าวที่พบไปให้ดูครั้งแรกในเดือนเมษายน 2555 แต่จำเลยที่ 2 กลับเบิกความว่าหลังจากพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 แล้ว จำเลยที่ 2 แจ้งให้นางแฉล้มทราบเป็นคนแรก ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2555 จำเลยที่ 2 จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แตกต่างกันดูเป็นพิรุธ จึงรับฟังไม่ได้ นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำพยานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในส่วนนี้แล้ว ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ซักถามว่า “ภายหลังจากวันที่ 2 เมษายน 2555 ข้าฯ ทราบจากนางสาวไอรดา จำเลยที่ 2 ว่า เพิ่งพบพินัยกรรมของนายบุญส่งอีกฉบับในห้องนอนของนายบุญส่งก่อนถึงแก่กรรม…รายละเอียดปรากฏตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1” แล้วจำเลยที่ 1 ตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า “พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 จำเลยที่ 2 เป็นผู้พบและนำมาให้ข้าฯ ดูครั้งแรกวันที่เท่าใดจำไม่ได้ แต่เดือนเมษายน 2555 อยู่ในซองสีน้ำตาลแต่ถูกเปิดไว้แล้ว ไม่ได้ปิดผนึกไว้ แต่ไม่มีลายเซ็นของเจ้ามรดกเซนต์กำกับไว้ที่ซอง และบริเวณหน้าซองก็ไม่มีข้อความใดปรากฏอยู่” โดยได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามติงว่า ในวันราชการเปิดทำการจำเลยที่ 1 พักอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชที่จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นที่ปรึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล จำเลยที่ 1 กลับมาพักที่บ้านเลขที่ 1459 เฉพาะวันหยุดราชการเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 2 ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ซักถามว่า “เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2555 ข้าฯ พบพินัยกรรมของนายบุญส่งฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 เอกสารหมาย ล.1 ในห้องนอนของนายบุญส่ง” แล้วจำเลยที่ 2 ตอบทนายโจทก์ทั้งสี่ถามค้านว่า “หลังจากที่ข้าฯ พบพินัยกรรม ข้าฯ แจ้งให้มารดาของข้าฯทราบเป็นคนแรก ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2555 จึงแจ้งให้กับจำเลยที่ 1 ทราบซึ่งขณะนั้นข้าฯ แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบทางโทรศัพท์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 จึงเดินทางมาที่บ้าน” การเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว มีลักษณะเป็นการประมาณเวลาว่าพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 เมื่อเดือนพฤษภาคมอันเป็นเดือนที่ถัดมาจากเดือนเมษายน มิได้ยืนยันแน่นอนว่าพบพินัยกรรมในเดือนพฤษภาคม 2555 คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่แตกต่างขัดแย้งกับคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ให้ดูเป็นพิรุธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสามส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า ตามที่นางแฉล้มไปยื่นคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 4185 เนื่องจากโฉนดที่ดินฉบับผู้ถือสูญหายต่อเจ้าพนักงานที่ดินในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 โดยได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า ก่อนหน้านั้นนางแฉล้มกับจำเลยที่ 2 ซึ่งทราบดีว่านายบุญส่งเก็บเอกสารไว้ที่ใดบ้างช่วยกันค้นหาโฉนดที่ดินเลขที่ 4185 แล้วไม่พบ ซึ่งการค้นดังกล่าวหากพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 มีอยู่จริง จำเลยที่ 2 ก็ต้องพบในช่วงเวลานั้นแล้ว ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสี่ที่ว่าจำเลยที่ 2 เพิ่งพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ในภายหลังจึงมีข้อสงสัย นั้น เห็นว่า ทนายโจทก์ทั้งสามไม่ได้ถามค้านจำเลยที่ 2 ให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางแฉล้มและจำเลยที่ 2 ค้นหาโฉนดที่ดินในห้องนอนของนายบุญส่งด้วยหรือไม่ การค้นหาดังกล่าวได้ตรวจดูเอกสารอื่นของนายบุญส่งหรือไม่ และจำเลยที่ 2 พบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ตรงจุดใดในห้องนอนของนายบุญส่ง กรณีจึงอาจเป็นไปได้ว่าบริเวณที่นายบุญส่งเคยเก็บเอกสารไว้ มิได้อยู่ในห้องนอนของนายบุญส่งจึงไม่มีการตรวจค้นหาในห้องนอนของนายบุญส่งกัน หรืออาจเป็นไปได้ว่าการค้นหาดังกล่าวมุ่งตรวจหาแต่โฉนดที่ดินซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวโดยไม่สนใจดูรายละเอียดเอกสารอื่นด้วย ลำพังข้อเท็จจริงในคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่มีอยู่จึงไม่พอให้สรุปได้อย่างแน่ชัดว่าการที่จำเลยที่ 2 พบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ในภายหลังเป็นเรื่องผิดปกติที่มีข้อควรสงสัย ที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า ฝ่ายจำเลยทั้งสี่เกรงว่าหากโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของนายบุญส่งฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 แล้ว โจทก์ที่ 1 จะรื้อฟื้นเรื่องผลประโยชน์ที่ได้มาจากค่าเช่าร้านอาหารและพื้นที่เต็นท์ขายรถในที่ดินมรดกของนายบุญส่งด้านหน้าเดือนละ 90,000 บาท โดยไม่เคยแบ่งให้ฝ่ายโจทก์ทั้งสามมาก่อน จึงเป็นสาเหตุให้ฝ่ายจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำปลอมพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ขึ้นมาอ้าง นั้น เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าฝ่ายโจทก์ทั้งสามเคยทวงถามผลประโยชน์ได้ค่าเช่าจากฝ่ายจำเลยทั้งสี่มาก่อน ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า เดิมจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้เก็บค่าเช่ามาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านซึ่งรวมถึงค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ตลอดจนค่าดูแลรักษาพยาบาลของนายบุญส่งกับนางแฉล้ม และแบ่งใช้คืนค่าถมดินให้แก่จำเลยที่ 3 และได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า หลังจากนายบุญส่งถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บค่าเช่ามาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านส่วนหนึ่ง และคืนเป็นค่าลงทุนทำร้านกับค่าถมดินให้แก่จำเลยที่ 3 อีกส่วนหนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่แบ่งเงินให้โจทก์ทั้งสามเพราะโจทก์ทั้งสามไม่เคยมาดูแลนายบุญส่งเลย ดังนี้ การใช้จ่ายผลประโยชน์จากรายได้ค่าเช่าดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยโต้แย้งพิพาทกัน ทั้งนางแฉล้มก็ย่อมรับทราบการใช้จ่ายของจำเลยที่ 2 ตลอดมา ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสามในส่วนนี้จึงไม่มีเหตุผลให้รับฟัง ที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า นายบุญส่งเคยมีจดหมายลงวันที่ 3 กันยายน 2545 ถึงโจทก์ที่ 1 กล่าวถึงที่ดินที่จะยกให้ตามจดหมายท้ายคำร้องขอส่งเอกสารลงวันที่ 4 กันยายน 2556 ของโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายบุญส่งจะทำพินัยกรรมตัดโจทก์ที่ 1 มิให้ได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 นั้น เห็นว่า จดหมายท้ายคำร้องดังกล่าวที่โจทก์ทั้งสามขออนุญาตให้รวมไว้ในสำนวนโดยอ้างว่าเพิ่งพบหลังจากมีการสืบพยานโจทก์ทั้งสามและสืบพยานจำเลยทั้งสี่เสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ศาลชั้นต้นไม่ได้รับไว้เป็นพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์ทั้งสาม และฝ่ายจำเลยทั้งสี่ไม่มีโอกาสนำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสามยกขึ้นอ้างนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่โจทก์ทั้งสามอ้างทำนองว่า ฝ่ายจำเลยทั้งสี่ นายอภิชาติและนางสาวจีริสุมัย ซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายความของจำเลยทั้งสี่ในคดีนี้ด้วยมีพฤติการร่วมกันวางแผนดำเนินการติดต่อตลอดมา โดยนางสาวจีริสุมัยเคยเป็นลูกน้องนายอภิชาติมาก่อน อันเป็นหนังสือให้ความยินยอมจากทายาทให้จำเลยที่ 1 มายื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งมีลายมือชื่อนายอภิชาติเป็นพยานอยู่ด้วย ซึ่งหากนายบุญส่งทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ไว้จริง นายอภิชาติก็น่าจะต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1 และทายาทอื่นทราบในเวลานั้นว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมไว้ในปี 2544 และมอบพินัยกรรมคู่ฉบับให้นายอภิชาตเก็บรักษาเพื่อนางสาวจีริสุมัยจะได้ทำคำร้องขอให้ศาลตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งได้ถูกต้องตามความจริง ครั้นความปรากฏว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองไว้ในปี 2533 ฝ่ายจำเลยทั้งสี่จึงมาอ้างว่าเพิ่งพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเป็นพิรุธนั้น เห็นว่า แม้คำเบิกความของนายอภิชาติที่ตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านถึงเหตุที่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 หรือนางแฉล้มทราบว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมในปี 2544 ไว้ เพราะนายบุญส่งเคยปรับทุกข์ว่า “อยากให้ลูก ๆ รักใคร่กัน” อันมีความหมายทำนองว่านายอภิชาติไม่ต้องการให้บุตรของนายบุญส่งทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะการแบ่งทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมจึงไม่เปิดเผยว่านายบุญส่งได้ทำพินัยกรรมไว้เป็นเหตุผลที่ไม่หนักแน่น และดูน่าสงสัยก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 และนางสาวจีริสุมัยก็ดำเนินการยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญส่งต่อศาลตั้งแต่แรกอย่างเปิดเผยโดยมีการแจ้งให้โจทก์ที่ 1 และทายาทอื่นทราบทั้งนายอภิชาตินางสาวจีริสุมัย และนางสาวศิริวรรณเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนได้เสียในกองทรัพย์มรดกของนายบุญส่ง การร่วมมือกับฝ่ายจำเลยทั้งสี่ปลอมพินัยกรรมเพื่อหักล้างพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของนายบุญส่งที่ทำไว้ในปี 2533 เพียงต้องการให้เหลือทายาทผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก 6 คน จากจำนวนเต็มที่มี 8 คน และให้โจทก์ที่ 1 ไม่มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกกับเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมเป็นเรื่องที่นายอภิชาติ นางสาวจีริสุมัย และนางสาวศิริวรรณต้องกระทำผิดต่อจรรยาบรรณในวิชาชีพทนายความกับต้องเสี่ยงกับการต้องโทษคดีอาญา จึงไม่น่าเชื่อว่าบุคคลทั้งสามจะกล้ากระทำเช่นนั้น ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสามในส่วนนี้เป็นเรื่องโจทก์ทั้งสามคาดเดาเอาเองโดยปราศจากหลักฐานที่มั่นคงสนับสนุน จึงรับฟังไม่ได้ และส่วนโจทก์ทั้งสามอ้างว่า ลายมือชื่อของนายบุญส่งในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 มีข้อพิรุธ โดยมีลักษณะคล้ายใช้ปากกาหมึกซึมในการลงลายมือชื่อ แต่ปรากฏร่องรอยกระดาษนูนด้านหลังคล้ายถูกกดขณะลงลายมือชื่ออย่างแรง อันเป็นการผิดปกติวิสัยของการลงลายมือชื่อ ด้วยปากกาหมึกซึม ลายมือชื่อของนายบุญส่งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการลอกลายมือของนายบุญส่งลงในพินัยกรรมก่อนแล้วจึงนำปากกาหมึกซึมไปลากเส้นตามลายที่ลอกไว้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจึงไม่มีผลให้รับฟังได้ นั้น เห็นว่า ศาลฎีกาใช้แว่นขยายส่องดูประกอบการใช้นิ้วสัมผัสด้านหลังกระดาษพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ตรงบริเวณที่มีลายมือชื่อนายบุญส่งอยู่ 6 จุด แล้ว ปรากฏว่ามีรอยนูนเล็กน้อยที่สม่ำเสมอกันเกือบทั้งหมด แต่ละเส้นหมึกที่เขียนอยู่ด้านหน้าไม่ใช่ลายเส้นหมึกปากกาหมึกซึม เนื่องจากเมื่อใช้น้ำแตะแล้วไม่มีรอยเลอะเปื้อนซึมขยายออก การลงลายมือชื่อทั้งหกจุดนั้นมีลักษณะเป็นการใช้ปากกาลูกลื่นหรือปากกาอื่นที่ไม่ใช่ปากกาหมึกซึมโดยผู้ลงลายมือชื่อกดปากกาขณะลงลายมือชื่อ ซึ่งหากเป็นการลงลายมือชื่อด้วยวิธีลอกลายดังที่โจทก์ทั้งสามอ้าง ผู้เชี่ยวชาญผู้ทำการตรวจพิสูจน์ด้วยหลักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ย่อมตรวจพบข้อพิรุธและตั้งข้อสังเกตไว้ในรายงานการตรวจพิสูจน์ แต่ตามรายงานผลการตรวจพิสูจน์พยานเอกสารที่ส่งมาผู้เชี่ยวชาญผู้รับผิดชอบสำนวนพร้อมองค์คณะผู้ตรวจสอบมีความเห็นว่า ลายมือชื่อในเอกสารที่ส่งไปตรวจพิสูจน์เป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวโดยไม่มีข้อสังเกตแต่อย่างใด ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสามในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ฉะนั้น เมื่อภาระการพิสูจน์ในประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์ทั้งสาม แต่โจทก์ทั้งสามมีเพียงคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ว่าบุคคลทั้งสองเชื่อว่าพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 เป็นพินัยกรรมปลอมโดยเหตุผลแวดล้อมกรณีที่โจทก์ทั้งสามอ้างในฎีการับฟังไม่ได้ดังที่วินิจฉัยข้างต้น ส่วนจำเลยทั้งสี่มีนายอภิชาติกับนางศิริวรรณ ผู้เป็นพยานในพินัยกรรมมายืนยันว่านายบุญส่งทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 ไว้จริง สนับสนุนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เพิ่งพบพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ที่ห้องนอนของนายบุญส่งเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2555 ประกอบกับพยานผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นในการตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 เป็นลายมือชื่อของนายบุญส่งจริง พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสี่มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสาม จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่า พินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 และ ล.1 เป็นพินัยกรรมที่นายบุญส่งผู้ตายทำไว้จริง กรณีไม่มีเหตุที่จะต้อง วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนายบุญส่งหรือไม่อีกต่อไป ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามเป็นประการสุดท้ายว่า ตามที่ศาลชั้นต้นประเมินราคาที่ดินมรดกตามโฉนดเลขที่ 4184 และ 4185 เป็นเงิน 74,766,000 บาท และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า โจทก์ทั้งสามต้องเสียค่าขึ้นศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดชั้นศาลละ 224,766 บาท เป็นการถูกต้องหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสามอ้างในฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามควรต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ 200,000 บาท ขอให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเกินนั้น เห็นว่า คดีนี้ โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และนายณรงค์ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่โดยโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ให้พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นายณรงค์และนางสาวกุลตลา คนละ 1 ส่วน เท่า ๆ กัน กับขอให้พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนายบุญส่งผู้ตาย คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ โดยจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องพิจารณาจากผลได้ประโยชน์ของฝ่ายโจทก์ทั้งสามประกอบผลเสียประโยชน์ของฝ่ายจำเลยทั้งสี่หากโจทก์ทั้งสามชนะคดีเป็นเกณฑ์ ซึ่งหากโจทก์ทั้งสามชนะคดีโดยจำเลยทั้งสี่ถูกกำจัดมิให้ได้รับทรัพย์มรดกของนายบุญส่งตามฟ้อง ทายาทผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ก็จะหายไป 4 คน และเหลืออยู่ 4 คน จำนวนอัตราส่วนเฉลี่ยที่โจทก์ทั้งสามและนางสาวกุลตลามีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกจะเพิ่มขึ้นอีกคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน เป็นได้รับคนละ 1 ใน 4 ส่วน โดยทรัพย์มรดกที่ทายาททั้งสี่ได้รับเพิ่มมีราคา 37,380,000 บาท ทั้งนี้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเป็นการฟ้องให้ทรัพย์มรดกราคา 37,380,000 บาท ดังกล่าว ตกแก่ทายาท 4 คน ที่เหลือโดยมิได้ขอให้ตกแก่ตนจำนวนคนละเท่าใด จึงต้องถือว่าคดีนี้มีข้อพิพาทกันในทุนทรัพย์จำนวน 37,380,000 บาท
อนึ่ง หากโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่ร่วมฟ้องมาด้วย โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ก็ย่อมได้ประโยชน์จากคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว การจะคิดแยกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์ที่ 2 และที่ 3 อีกจึงเป็นเรื่องซ้ำซ้อนกัน จึงสมควรเรียกเก็บค่าขึ้นศาลโจทก์ทั้งสามรวมกันจากทุนทรัพย์ 37,380,000 เป็นค่าขึ้นศาลชั้นศาลละ 200,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาในส่วนนี้มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บเกินมาทั้งสามศาลให้แก่โจทก์ทั้งสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share