คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5634/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การฟ้องคดีมรดกตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1754 หมายถึงคดีที่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วยกันพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาและเป็นผู้จัดการมรดกของ ม. ซึ่งมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินและมีคำขอบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกตามที่ ม. มีสิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่า ม. ยกที่ดินส่วนของ ม. ให้แก่จำเลย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ ม. ยกให้จนได้สิทธิครอบครองแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อสู้ว่า ม. มิใช่เจ้าของรวม แม้จำเลยจะให้การว่า ม. กับโจทก์ไม่มีบุตรด้วยกันและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ ม. ก็เป็นการยกขึ้นอ้างเพื่อสนับสนุนว่า ม. ยกที่ดินส่วนของ ม. ให้แก่จำเลยเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การว่าจำเลยเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของ ม. ด้วยผู้หนึ่ง จึงมิใช่เรื่องที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก แต่พิพาทกันในเรื่องความเป็นเจ้าของรวมที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความหาใช่การฟ้องคดีมรดกไป จึงไม่อาจนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโม้ คำนาโฮมหรือคำภาโฮม ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายโม้ตามคำสั่งศาล นายโม้เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1094 เนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา โดยโจทก์กับนายโม้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 11.5 ตารางวา ส่วนที่ดินอีกครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันออกเนื้อที่เท่ากันจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2541 โจทก์ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายโม้แจ้งให้จำเลยร่วมกับโจทก์ไปยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดิน แต่จำเลยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวและห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 11.5 ตารางวา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินด้านทิศตะวันตกที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ หากแบ่งไม่ได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องสามีโจทก์กับจำเลยได้มาโดยทางมรดกและเป็นเจ้าของร่วมกัน สามีโจทก์กับโจทก์ไม่มีบุตรด้วยกัน และสามีโจทก์ยังมีที่ดินแปลงอื่นอีก เมื่อปี 2527 ขณะสามีโจทก์เจ็บป่วยใกล้ถึงแก่ความตาย สามีโจทก์จึงยกที่ดินส่วนของสามีโจทก์ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียน เนื่องจากสามีโจทก์ถึงแก่ความตายไปเสียก่อน จำเลยเข้าครอบครองที่ดินส่วนของสามีโจทก์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของสามีโจทก์ โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1094 ตำบลค้อน้อย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ให้โจทก์ครึ่งหนึ่งด้านทิศตะวันตกของที่ดิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนของโจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ 1,000 บาท
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงมาว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโม้ คำนาโอมหรือคำภาโอม ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายโม้ตามคำสั่งศาล นายโม้กับจำเลยมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1094 ตำบลค้อน้อย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา โดยนายโม้มีสิทธิครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันตกครึ่งหนึ่ง และยินยอมให้จำเลยเข้าทำประโยชน์โดยนายโม้มิได้สละการครอบครองหรือยกที่ดินส่วนของนายโม้ให้แก่จำเลย จำเลยเพียงแต่ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนนายโม้ ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยมีว่า การที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ในคดีนี้เป็นการฟ้องคดีมรดกซึ่งตกอยู่ภายใต้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 หรือไม่ เห็นว่า การฟ้องคดีมรดกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 หมายถึงคดีที่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วยกันพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาและเป็นผู้จัดการมรดกของนายโม้ซึ่งมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1094 และมีคำขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกตามที่นายโม้มีสิทธิครอบครอง สภาพแห่งคำฟ้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นภรรยาและผู้จัดการมรดกของนายโม้ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์ในฐานะเจ้าของรวม ส่วนจำเลยก็ให้การต่อสู้ว่า นายโม้ยกที่ดินส่วนของนายโม้ให้แก่จำเลย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่นายโม้ยกให้จนได้สิทธิครอบครองแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อสู้ว่านายโม้มิใช่เจ้าของรวมในที่ดินที่โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งได้ แม้จำเลยจะให้การว่านายโม้กับโจทก์ไม่มีบุตรด้วยกันและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายโม้ก็ตาม แต่ก็เป็นการยกขึ้นอ้างเพื่อสนับสนุนว่านายโม้ยกที่ดินส่วนของนายโม้ให้แก่จำเลยเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของนายโม้ด้วยผู้หนึ่ง ตามคำฟ้องและคำให้การจึงมิใช่เรื่องที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก แต่พิพาทกันในเรื่องความเป็นเจ้าของรวมที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ หาใช่การฟ้องคดีมรดกไม่ จึงไม่อาจนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งทรัพย์มรดกของนายโม้ให้แก่โจทก์เกินส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมาย เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งจำเลยได้ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลชั้นต้นเพียงแต่วินิจฉัยว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1094 เป็นของนายโม้และจำเลยคนละครึ่ง โดยนายโม้มีสิทธิครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันตก ส่วนจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันออกและพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกให้แก่โจทก์ อันเป็นการแบ่งทรัพย์ที่นายโม้และจำเลยเป็นเจ้าของรวมตามฟ้องเท่านั้น มิใช่เป็นการแบ่งทรัพย์มรดกของนายโม้ให้แก่โจทก์เกินส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายซึ่งจะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังที่จำเลยกล่าวอ้าง และเมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์และจำเลยในฐานะทายาทของนายโม้ว่ามีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกคนละเท่าใด แต่เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องว่ากล่าวกันเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวด้วยเหตุที่ว่ามิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เกินมา 125 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้สั่งคืน ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคืนแก่จำเลย”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมา 125 บาท แก่จำเลย.

Share