แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่จำเลยตายเสียก่อนได้รับสำเนาฟ้องอุทธรณ์นั้น จะดำเนินต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้มีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ และศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตด้วย
การคุ้มครองที่จะได้รับตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ในกรณีที่จะบังคับไม่ให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาและขับไล่ผู้เช่าออกจากที่นานั้น จะมีได้ก็แต่ในระหว่างที่สัญญาเช่ายังมีอายุอยู่เท่านั้น
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าเป็นโจทก์ฟ้อง แม้จำเลยให้การรับว่าได้เป็นผู้เช่าแต่ต่อสู้ไม่ยอมออกจากที่เช่านั้น หาใช่หลักฐานเป็นหนังสืออันโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างได้ไม่
ย่อยาว
คดี ๘ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องมีใจความว่าจำเลยทั้ง ๘ สำนวนต่างเช่านาของโจทก์โดยไม่มีสัญญาเช่ามาเป็นเวลา ๑๐ ปี จำเลยไม่ชำระค่าเช่าโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว แต่จำเลยไม่ออกจากที่นา ขอให้บังคับ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้ง ๘ สำนวน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลยทั้ง ๘ สำนวนพร้อมทั้งบริวารออกจากที่นาที่เช่าและให้จำเลยใช้ค่าเช่ากับค่าเสียหายแกโจทก์ด้วย
จำเลยทั้ง ๘ สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่านางสายจำเลยได้ตายเสียก่อนได้รับสำเนาฟ้องอุทธรณ์เช่นนี้ คดีจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้มีบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ และศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตในการที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทน ตามนัยมาตรา ๔๒ และ ๔๓ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีที่นางสายเป็นจำเลยไปนั้น จึงเป็นการมิชอบ
สำหรับคดีอื่นอีก ๗ สำนวนนั้น เป็นว่าการคุ้มครองที่จะได้รับตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๔๙๓ ในกรณีที่จะบังคับไม่ให้ผู้ให้เช่าให้ผู้เช่าเลิกใช้หรือเลิกรับประโยชน์จากนาที่เช่า คือ ในกรณีบอกเลิกสัญญาเช่าและขับไล่ผู้เช่าออกจากที่นานั้น จะมีได้ก็แต่เฉพาะในระหว่างที่สัญญาเช่ายังมีอายุอยู่เท่านั้น อายุแห่งสัญญาเช่าที่ทำไว้ก่อนประกาศพระราชกฤษฎีกาในคดีที่โจทก์ฟ้องนี้ กฎหมายให้มีอายุต่อไปได้ไม่เกิน ๕ ปี นับแต่วันประกาศพระราชกฤษฎีกา การเช่านาของจำเลยทุกรายจึงได้รับความคุ้มครองมาเพียง พ.ศ. ๒๔๙๙ การที่จำเลยยังคงใช้และรับประโยชนจากนาที่เช่าต่อมา จึงเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาซึ่งผู้ให้เช่าคือโจทก์ อาจบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การเช่าทั้ง ๗ รายนี้ โจทก์บอกเลิกเมือ่ก่อนฤดูทำนา พ.ศ. ๒๕๐๒ ฉะนั้น คดีเหล่านี้จึงมิใช่กรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวแก่ข้อเท็จจริงหรือการใช้สิทธิตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๔๙๓ โจทก์ไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการอำเภอวินิจฉัยก่อน
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า เพียงแต่การที่จำเลยให้การรับว่าได้เป็นผู้เช่านาโจทก์จริง โดยต่อสู้ไม่ยอมออกจากนาที่เช่า หาเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่จะทำให้ข้อเรียกร้องของโจทก์ตามฟ้องซึ่งเมื่อฟ้องนั้นไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออันศาลจะบังคับให้โจทก์ตามฟ้องนั้นได้ กล่าวคือ ในเวลาที่โจทก์ฟ้องร้องให้บังคับคดีนั้น หามีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดไม่ ในกรณีนี้ เมื่อผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรณีก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีเรียกค่าเช่าที่ค้างนั้นหาได้ไม่ โจทก์คงเรียกร้องได้แต่เพียงค่าเสียหายที่จำเลยไม่ยอมออกจากนาที่เช่าตั้งแต่วันบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่า
พิพากษาแก้เป็นว่า คดีที่นางสายเป็นจำเลย ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บังคับแก่นางสายนั้นเสีย ให้ศาลอุทธรณ์จัดการดำเนินคดีนี้เสียใหม่ ให้ขับไล่จำเลยทั้ง ๗ สำนวนพร้อมทั้งบริวารออกจากนาที่เช่า และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ส่วนค่าเช่าที่ค้างเป็นอันไม่ต้องชำระ