คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่าเงินทุนสงเคราะห์ (ท.ส.ค.) ของผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟ เป็นเงินที่เก็บจากผู้ปฏิบัติงานร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือน และการรถไฟจ่ายสมทบอีกมีจำนวนร้อยละ 10 ถ้าผู้ปฏิบัติงานต้องออกจากงานรวมทั้งดอกเบี้ยและกองทุนจ่ายเพิ่มให้อีกเป็นจำนวนเท่ากันนั้น เห็นได้ว่าเงินทุนสงเคราะห์นี้เป็นเงินที่ผู้ปฏิบัติงานมีสิทธิได้รับอยู่ก่อนแล้ว หากผู้นั้นตายลงก็ย่อมตกเป็นมรดก
แม้จะระบุในสมุดประวัติ (ท.ส.ค.) ให้จำเลยเป็นผู้รับเงินทุนสงเคราะห์ก็ดี แต่หากต่อมาภายหลังเจ้าของเงินทุนสงเคราะห์ทำพินัยกรรมระบุยกให้โจทก์เป็นผู้รับ ก็เป็นการตัดจำเลยไปตามพินัยกรรมนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเปล่งรับราชการกรมรถไฟ เป็นสมาชิกฌาปนกิจสังกัดสาขาวบข (วิศวการช่างโยธา) ชุมพร โจทก์ เป็นบุตรบุญธรรมของนายเปล่ง จำเลยเป็นภริยานายเปล่ง แต่ไม่มีบุตร เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2504 นายเปล่งทำพินัยกรรมว่า เงินฌาปนกิจที่จะได้รับจากทางการรถไฟให้ได้แก่โจทก์จำเลยเท่า ๆ กัน ส่วนเงินทุนสะสม (ท.ส.ค.) รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินเพิ่มอีก 1 เท่ากับเงินช่วยทำศพอีก 3 เดือน ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์แต่ผู้เดียว วันที่ 7 กุมภาพันธ์2504 นายเปล่งตาย โจทก์ขอรับเงินส่วนที่โจทก์มีสิทธิตามพินัยกรรมจากทางการรถไฟ จำเลยคัดค้านว่า ผู้ตายให้จำเลยมีสิทธิได้รับเงินฌาปนกิจทั้งหมดเป็นเหตุให้คณะกรรมการอำนวยการฌาปนกิจขัดข้องไม่จ่ายเงินให้โจทก์ จึงขอให้พิพากษาว่า โจทก์จำเลยต่างมีสิทธิได้รับเงินฌาปนกิจของผู้ตายตามพินัยกรรมเท่า ๆ กันโดยโจทก์ได้ 13,500 บาท กับให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินทุนสะสมเงินอย่างอื่นตามพินัยกรรมอีก 5,000 บาท

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิรับเงินฌาปนกิจเงินทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟพร้อมด้วยดอกเบี้ยและเงินเพิ่มอีก 1 เท่า กับเงินช่วยทำศพตามระเบียบตามที่นายเปล่งระบุไว้แต่ผู้เดียว ระเบียบการและข้อบังคับมิให้ถือว่าเงินเหล่านี้เป็นมรดก พินัยกรรมเป็นโมฆะเพราะทำขณะนายเปล่งป่วยหนักไม่มีความสามารถและขาดเจตนาที่จะทำ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าเงินช่วยฌาปนกิจไม่เป็นมรดก เงินทุนสงเคราะห์ระบุให้จ่ายแก่นางเจียน ย่อมตัดโจทก์ซึ่งเป็นทายาทตามพินัยกรรมและนายเปล่งผู้ตายไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ พินัยกรรมจึงไม่มีผลตามกฎหมายพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า มีพยานโจทก์รู้เห็นและลงชื่อในพินัยกรรม พินัยกรรมจึงใช้ได้ตามกฎหมาย อุทธรณ์ข้อนี้ฟังขึ้น เงินฌาปนกิจเป็นเงิน ๆ ที่จ่ายเพื่อช่วยเหลือในการทำศพผู้ตายหาใช่เงินที่ผู้ตายมีสิทธิที่จะรับไม่ เงินนี้จึงไม่ใช่มรดกของผู้ตาย และเงินช่วยทำศพ 3 เดือน ก็ไม่ใช่ทรัพย์สินอันเป็นมรดกของนายเปล่ง ส่วนเงินทุนสงเคราะห์เป็นเงินที่ผู้ตายมีสิทธิจะได้รับตามข้อบังคับอยู่ก่อนตายแล้ว และเป็นเงินของผู้ตายจึงเป็นมรดกของผู้ตาย ผู้ตายจะเอาทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดก็ได้ จึงพิพากษาแก้ว่า โจทก์มีสิทธิรับเงินทุนสงเคราะห์ของนายเปล่ง รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินกองทุนจ่ายเพิ่ม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พินัยกรรมใช้ได้ตามกฎหมาย ส่วนเงินทุนสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟ (ท.ส.ค.) นั้น เป็นเงินที่เก็บจากผู้ปฏิบัติงานเป็นรายเดือน ร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือน และการรถไฟจ่ายสมทบอีกมีจำนวนร้อยละ 10 จึงเป็นเงินที่เก็บไปจากเงินเดือนของผู้ปฏิบัติงานส่วนหนึ่ง การรถไฟสมทบให้แก่ผู้ปฏิบัติงานอีกส่วนหนึ่ง และเงินนี้ตามข้อ 11 แห่งข้อบังคับระบุว่าถ้าผู้ปฏิบัติงานต้องออกจากงานนอกจากถูกไล่ออกให้จ่ายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานรวมทั้งดอกเบี้ยและกองทุนจ่ายเพิ่มให้อีกเป็นจำนวนเท่ากัน แต่ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติงานถึงแก่กรรม จึงให้จ่ายแก่ผู้ที่ผู้ปฏิบัติงานได้ระบุไว้ หรือถ้าไม่ระบุไว้ก็ให้จ่ายแก่ผู้จัดการมรดกทายาทโดยธรรมหรือทายาทโดยพินัยกรรมแล้วแต่กรณีเงินทุนสงเคราะห์นี้จึงเป็นเงินที่ผู้ตายมีสิทธิจะได้รับตามข้อบังคับอยู่ก่อนแล้ว กล่าวคือ เป็นเงินของนายเปล่งที่หักจากเงินเดือนสมทบทุนร้อยละ 5 ของเงินเดือนจึงเป็นทรัพย์สินอันถือได้ว่าเป็นทรัพย์ของกองมรดกนายเปล่งผู้ตาย ผู้ตายย่อมทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดก็ได้ แม้ชั้นแรกผู้ตายจะระบุไว้ในสมุดประวัติ (ท.ส.ค.) ให้จำเลยเป็นผู้รับก็ดี แต่ภายหลังก็ได้มีพินัยกรรมที่ผู้ตายทำไว้ระบุยกให้โจทก์เป็นผู้ได้รับ จึงเป็นการตัดจำเลยไปตามพินัยกรรมนั้นโจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินจำนวนนี้ตามพินัยกรรม ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share