แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันมีกัญชาจำนวน 290 แท่ง น้ำหนัก 576.200 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยโจทก์อ้างบทลงโทษตามมาตรา 76 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาในคำขอท้ายฟ้อง มาตราดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงมาตรา 26 ซึ่งเป็นบทห้ามและข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เกี่ยวกับการมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ด้วย เพียงแต่โจทก์มิได้ระบุมาตรา 26 มาในคำขอท้ายฟ้อง ส่วนมาตรา 25 ที่โจทก์ระบุมานั้นไม่ใช่บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นที่เห็นได้ว่าการที่โจทก์ระบุมาตรา 25 มาในคำขอท้ายฟ้อง เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบท มาตราผิด เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเป็นเหตุให้ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๒๕, ๗๕, ๗๖, ๑๐๒ ประกอบ ป.อ. มาตรา ๘๓, ๙๑ และริบยาเสพติดให้โทษของกลาง รถยนต์กระบะของกลางทั้ง ๓ คัน โจทก์จะยื่นคำร้องขอริบให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓๐, ๓๑ ต่อไป
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และที่ ๕ ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ ๔ ที่ ๖ และที่ ๗ ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ ส่วนจำเลยที่ ๕ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแยกต่างหาก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖, ๗๖ วรรคสอง (ที่ถูก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖ วรรคหนึ่งและวรรคสอง, ๗๖ วรรคสอง ประกอบ ป.อ. มาตรา ๘๓) จำคุกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ คนละ ๑๔ ปี จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ คนละ ๗ ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๒๕, ๗๕, ๗๖, และ ๑๐๒ โดยไม่ระบุมาตรา ๒๖ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ รับโทษอ้างมาตรา ๒๖ เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้ต้องพิพากษายกฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันมีกัญชาจำนวน ๒๙๐ แท่ง น้ำหนัก ๕๗๖.๒๐๐ กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยโจทก์อ้างบทลงโทษตามมาตรา ๗๖ แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาในคำขอท้ายฟ้อง มาตราดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงมาตรา ๒๖ ซึ่งเป็นบทห้ามและข้อสันนิษฐานเด็ดขาดเกี่ยวกับการมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ด้วย เพียงแต่โจทก์มิได้ระบุมาตรา ๒๖ มาในคำขอท้ายฟ้อง ส่วนมาตรา ๒๕ ที่โจทก์ระบุมานั้นไม่ใช่บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตามที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นที่เห็นได้ว่า การที่โจทก์ระบุมาตรา ๒๕ มาในคำขอท้ายฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด เมื่อจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคห้า ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเป็นเหตุให้ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ดังที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฎีกา
ปัญหาข้อที่สองที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฎีกาขอให้กำหนดโทษให้น้อยลงนั้น เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ มานั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน .