แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยกับผู้เสียหายเข้าพักในโรงแรมที่เกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายหลับไปและตื่นขึ้นปรากฏว่าจำเลยไม่อยู่ในห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายสูญหายไป ผู้เสียหายลงไปที่เคาน์เตอร์โรงแรมและแจ้งให้พนักงานโรงแรมทราบ แต่พนักงานโรงแรมซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมในคืนเกิดเหตุกลับเบิกความว่าผู้เสียหายออกจากโรงแรมเวลาประมาณ5 นาฬิกา โดยไม่ได้พูดอะไรเลย คำเบิกความพยานโจทก์จึงเป็นพิรุธซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ประกอบกับไม่ได้ตรวจพบทรัพย์สินของผู้เสียหายที่จำเลยและพนักงานโรงแรมมิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับสุภาพสตรีที่มากับผู้เสียหายในคืนที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 18,380 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) วรรคสอง (ที่ถูกเป็นวรรคแรก) ลงโทษจำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 18,380 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ นายโสภณผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าก่อนเกิดเหตุได้พบจำเลยที่สวนรักซึ่งเป็นสวนสาธารณะ จำเลยชักชวนผู้เสียหายให้ไปร่วมหลับนอน ผู้เสียหายกับจำเลยพากันไปเปิดห้องพักที่โรงแรมโตเกียวจำเลยลงมาซื้อเบียร์ขวดเล็ก 4 ขวด ที่ข้างล่างแล้วถือขึ้นไปในห้องพักในลักษณะที่ฝาขวดเบียร์ทั้ง 4 ขวดเปิดแล้ว ผู้เสียหายดื่มเบียร์ที่จำเลยรินให้หมดไปประมาณ1 ขวด แล้วก็หลับไปมาตื่นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของวันที่ 4 เมษายน2539 ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายเอกสารหมาย ปจ.1 (ศาลจังหวัดอุทัยธานี) สูญหายไปจึงลงมาแจ้งให้พนักงานโรงแรมที่เคาน์เตอร์โรงแรมทราบและสอบถามรายชื่อผู้เข้าพัก แต่พนักงานโรงแรมไม่ได้ลงชื่อไว้ เมื่อสอบถามพนักงานโรงแรมทราบว่าจำเลยออกจากโรงแรมไปเวลาประมาณ 2 นาฬิกา แต่นายเลี่ยงเฮ็ง แซ่โล้วพนักงานโรงแรมที่เกิดเหตุเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าเมื่อวันที่ 3 เมษายน2539 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้เสียหายเดินทางมาพร้อมกับสุภาพสตรีคนหนึ่งขอเปิดห้องพักค้างคืน 1 คืน จนกระทั่งเวลาประมาณ 5 นาฬิกาของอีกวันหนึ่ง ผู้เสียหายออกจากโรงแรมไปโดยไม่ได้พูดอะไร ต่อมาถูกเรียกให้ไปเป็นพยานจึงทราบว่ามีการลักทรัพย์เกิดขึ้น เห็นว่า คดีนี้คงมีแต่เฉพาะผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าจำเลยอยู่กับผู้เสียหายเพียงสองคนเท่านั้นในห้องพักของโรงแรมที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายหลับไปและตื่นขึ้นมาปรากฏว่าจำเลยได้หายไปจากห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายสูญหายไป ผู้เสียหายเป็นพยานเดี่ยว จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเมื่อปรากฏว่าคำเบิกความของผู้เสียหายแตกต่างกับคำเบิกความของนายเลี่ยงเฮ็งพนักงานโรงแรมในข้อที่ว่า เมื่อรู้ว่าทรัพย์สินของผู้เสียหายไปและจำเลยไม่อยู่ในห้องพักแล้ว ผู้เสียหายลงไปที่เคาน์เตอร์โรงแรมและแจ้งให้พนักงานโรงแรมทราบ แต่นายเลี่ยงเฮ็งพนักงานโรงแรมซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมในคืนเกิดเหตุกลับเบิกความว่า ผู้เสียหายออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยไม่ได้พูดอะไรเลย เมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวแตกต่างกันเป็นพิรุธ ซึ่งจำเลยได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนประกอบกับไม่ได้ตรวจพบทรัพย์สินของผู้เสียหายที่จำเลยและนายเลี่ยงเฮ็งก็มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับสุภาพสตรีที่มากับผู้เสียหายในคืนที่เกิดเหตุ ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธโดยนำสืบอ้างฐานที่อยู่และอ้างว่าไม่เคยรู้จักผู้เสียหายมาก่อน ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน