คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยใส่ความผู้เสียหายที่ 1 ต่อผู้เสียหายที่ 3 และใส่ความผู้เสียหายที่ 1 ต่อผู้เสียหายที่ 4 ในแต่ละครั้ง ก็โดยเจตนาเพื่อเรียกเงินจากผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 นั่นเอง ความผิดฐานหมิ่นประมาทกับฐานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 ในแต่ละครั้งจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดต่างกรรมกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 143, 326
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143, 326 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท จำคุก 2 เดือน ฐานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี รวมโทษจำคุก 6 ปี 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ยุ่งยาก และการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ส่วนฎีกาที่ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่สามารถให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว และไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 วรรคสอง และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
อนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่า การที่จำเลยใส่ความผู้เสียหายที่ 1 ต่อผู้เสียหายที่ 3 และใส่ความผู้เสียหายที่ 1 ต่อผู้เสียหายที่ 4 ในแต่ละครั้ง ก็โดยเจตนาเพื่อเรียกเงินจากผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 นั่นเอง ความผิดฐานหมิ่นประมาทกับฐานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 ในแต่ละครั้งจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดต่างกรรมกัน ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทและความผิดฐานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลย 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share