คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11)”คู่ความ” หมายความรวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความฝ่ายจำเลยมีทนายความเป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและจำเลยเป็นผู้แต่งทนายความ โดยให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยรวมทั้งการประนีประนอมยอมความได้ด้วย การที่ทนายความได้สละข้อต่อสู้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำของคู่ความคือจำเลยด้วย จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลว่าทนายจำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยจำเลยไม่ทราบนั้นหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ยืม จำนวน 1,432,872.81 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้จนครบ

จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยทั้งสามยอมชำระเงินจำนวน 1,432,872.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 998,890.40 บาท นับจากวันที่ 24เมษายน 2539 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยอมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและยอมใช้ค่าทนายความและค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินคดีอีกจำนวน 7,866 บาท โดยจะผ่อนชำระให้เดือนละ 260,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไปเดือนต่อไปชำระทุกวันที่ 30 ของเดือน ทั้งนี้จะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 24 มีนาคม 2540 หากผิดนัดเดือนใดยอมให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดได้ทันทีศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น

หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เลย โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เพื่อนำออกขายทอดตลาด ต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2540 จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาที่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำขึ้นโดยเจตนาอันไม่สุจริต เป็นการสมคบกันระหว่างโจทก์และทนายจำเลยทั้งสามฉ้อฉลจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามทราบเรื่องดังกล่าวต่อเมื่อถูกยึดทรัพย์แล้ว ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์และสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเสีย และให้ดำเนินคดีของจำเลยต่อไป

โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าทนายจำเลยทั้งสามและโจทก์ฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงไม่มีเหตุให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิฉัยว่า เป็นกรณีที่คู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันทางฝ่ายจำเลยนั้นมีทนายความของจำเลยทั้งสามเป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และจำเลยทั้งสามเป็นผู้แต่งทนายความ โดยให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยทั้งสามซึ่งรวมทั้งการประนีประนอมยอมความได้ด้วย การที่ทนายความได้สละข้อต่อสู้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำของคู่ความคือจำเลยทั้งสามด้วยเพราะ “คู่ความ” หมายความให้รวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าการที่ทนายจำเลยทั้งสามไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยทั้งสามไม่ทราบนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้

พิพากษายืน

Share