แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างไปจากที่ดินโจทก์แล้วจำเลยเพิกเฉย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหายไม่สามารถที่จะเข้าไปใช้หรือเข้าไปทำประโยชน์ ในที่ดินของโจทก์ได้ หากที่ดินพิพาทให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่า ไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งโจทก์ขอถือเอา เป็นค่าเสียหายของโจทก์โดยโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดิน จากจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยซื้อที่ดินมาจากผู้มีชื่อ โดยมีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้ว เป็นการปลูกสร้าง โดยสุจริตและต่อสู้เรื่องค่าเสียหาย คดีจึงไม่มีประเด็น เรื่องค่าใช้ที่ดิน การที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์เรียกค่าเสียหาย เนื่องจากโรงเรือนของจำเลยรุกล้ำที่ดินโจทก์ เท่ากับโจทก์เรียกค่าใช้ที่ดินของโจทก์จากจำเลยจึงไม่ชอบศาลฎีกาย่อม พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ให้จำเลย ชำระ ค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 20เนื้อที่ 2 งาน 2 ตารางวา โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจังหวัดหนองคาย ได้จดทะเบียนรับโอนมาเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2533 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 164 เนื้อที่ 1 งาน 31 8/10 ตารางวา อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตก เมื่อเดือนกันยายน 2537 โจทก์ได้รังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกเป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองซื้อที่พิพาทมาจากนายจันทร์ กานิล เมื่อปี 2523 โดยมีบ้านปลูกอยู่ 1 หลัง มีรั้วรอบขอบชิดอยู่ก่อนแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ได้ต่อเติมเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นการปลูกสร้างโดยสุจริต จำเลยทั้งสองไม่ต้องรื้อถอนออกไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าใช้ที่พิพาทให้แก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโรงเรือนของจำเลยทั้งสองในที่พิพาทจะสลายไปทั้งหมดนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประเด็นแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าใช้ที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นการพิพากษานอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างไปจากที่ดินโจทก์แล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถที่จะเข้าไปใช้หรือเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ได้ หากที่ดินพิพาทให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งโจทก์ขอถือเอาเป็นค่าเสียหายของโจทก์ โดยโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยทั้งสองคงฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวเท่านั้น จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยซื้อที่ดินมาจากผู้มีชื่อโดยมีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้ว เป็นการปลูกสร้างโดยสุจริตและต่อสู้เรื่องค่าเสียหายดังนี้คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องค่าใช้ที่ดินการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายเนื่องจากโรงเรือนของจำเลยทั้งสองรุกล้ำที่ดินโจทก์ จึงเป็นที่เห็นได้ว่าเท่ากับโจทก์เรียกค่าใช้ที่ดินของโจทก์จากจำเลยทั้งสองนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312