คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรย่อมแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น หากจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาหนึ่งแล้ว จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีความผิดในอีกข้อหาหนึ่ง การที่จำเลยทั้งสองให้การว่ารับสารภาพตามฟ้องทุกประการ จึงเป็นคำรับสารภาพที่ไม่สามารถรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาใด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบเพื่อให้ได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง แต่โจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความเช่นว่านั้น คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 335 (1) และจำเลยทั้งสองยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือคำฟ้องอุทธรณ์มิใช่คำให้การของจำเลยทั้งสองที่ได้ให้การไว้ต่อศาลชั้นต้นก่อนเริ่มพิจารณา ถึงแม้จะมีถ้อยคำหรือข้อความที่อาจแสดงว่ารับสารภาพในความผิดฐานลักทรัพย์ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นคำให้การของจำเลยทั้งสองว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับฟังได้โดยปริยายว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ เมื่อคำให้การของจำเลยทั้งสองไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2545 เวลากลางคืนหลังเที่ยงมีคนร้ายหลายคนลักรถจักรยานยนต์ของนายคำพูน พินโสดา ขณะอยู่ในความครอบครองของนายนพดล พินโสดา ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองพร้อมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวจำเลยทั้งสองร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวถึงวันเวลาจับกุมจำเลยทั้งสองร่วมกันรับเอารถจักรยานยนต์ดังกล่าวไว้โดยช่วยกันซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับเอาไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335, 357
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 (1) พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว จำเลยทั้งสองเคยกระทำความผิดลักษณะเดียวกันหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน 17 ปี จึงเห็นสมควรส่งตัวจำเลยทั้งสองไปเข้ารับการศึกษา และฝึกอบรม ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลาคนละ 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์ได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของดจร ย่อมแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น หากจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาลักทรัพย์ จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีความผิดในข้อหารับของโจร หรือหากจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหารับของโจรย่อมไมมีความผิดในข้อหาลักทรัพย์ การที่จำเลยทั้งสองให้การว่ารับสารภาพตามฟ้องทุกประการ จึงเป็นคำรับสารภาพที่ไม่สามารถรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาใด เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบเพื่อให้ได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาใดข้อหาหนึ่งแต่โจทก์มิได้นำสืบพยานให้ได้ความเช่นว่านั้น คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 มิได้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้องและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองก็ยอมรับว่าสารภาพฐานร่วมกันลักทรัพย์ แสดงว่าในการสอบคำให้การจำเลยทั้งสองความปรากฏแก่ศาล โจทก์ จำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานร่วมกันลักทรัพย์ ศาลจึงพิจารณาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันลักทรัพย์ได้ โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานอีกต่อไปนั้น เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) และจำเลยทั้งสองยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ ไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์เพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้มอบตัวจำเลยทั้งสองให้ผู้ปกครองรับไปอบรมดูแลก็ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือคำฟ้องอุทธรณ์มิใช่คำให้การของจำเลยทั้งสองที่ได้ให้การไว้ต่อศาลชั้นต้นก่อนเริ่มพิจารณาถึงแม้จะมีถ้อยคำหรือข้อความที่อาจแสดงว่ารับสารภาพในความผิดฐานลักทรัพย์ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นคำให้การของจำเลยทั้งสองว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับฟังได้โดยปริยายว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ เมื่อคำให้การของจำเลยทั้งสองไม่สามารถรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share