แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ร่วมกันรังวัดแนวเขตที่ดินที่ราชพัสดุ ปักหลักเขตรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและทำลายต้นไม้ในบริเวณดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ย้ายหลักเขตที่ดินที่ราชพัสดุตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี และห้ามรบกวนหรือยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า แม้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีจะทับซ้อนกับที่ราชพัสดุและผู้ฟ้องคดีจะได้ครอบครองในส่วนที่ทับซ้อน แต่ผู้ฟ้องคดีไม่อาจยกอายุความต่อสู้กับสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ เห็นว่า แม้คดีนี้จะเป็นคดีที่ฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองว่า กระทำการโดยไม่มีอำนาจหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตแล้วปักหลักเขตรุกเข้าไปในที่ดินที่มีโฉนดทั้งสามแปลงของผู้ฟ้องคดีเป็นกรณีที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการเพื่อยืนยันสิทธิในที่ดินที่ตนใช้สอยดูแล ในขณะที่ฝ่ายผู้ฟ้องคดีก็กล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามโฉนดในส่วนที่อ้างว่าฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีรุกล้ำเข้าไปเช่นเดียวกัน หากได้ความว่าที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิใช้สอยดูแลการกระทำตามฟ้องของฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีย่อมไม่เป็นการละเมิด และฝ่ายผู้ฟ้องคดีย่อมไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ย้ายหลักเขตที่ดินที่ราชพัสดุตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ห้ามฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีรบกวนหรือยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งให้ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ ต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินที่พิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ราชพัสดุ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปได้ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม