คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดาโจทก์ตาย บิดาจำเลยมิใช่บุตรบิดาโจทก์และไม่มีสิทธิรับมรดกบิดาโจทก์ แต่ได้ไปไถ่นาพิพาท(มีโฉนดซึ่งบิดาโจทก์จำนองไว้) เอามาเป็นของตนและได้ไปแจ้งความเท็จว่า เป็นบุตรบิดาโจทก์ มีสิทธิรับมรดก เจ้าพนักงานหลงเชื่อโอนใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด และบิดาจำเลยได้ครอบครองอย่างถือตนเป็นเจ้าของโดยฝ่ายโจทก์รู้เห็นและมิได้โต้แย้งหรือขัดขวางตลอดมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ดังนี้ ถือได้ว่าบิดาจำเลยครอบครองนาพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 และได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2508)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายทาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมมา ๓๗ ปีแล้ว มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่นาโฉนดที่ ๗๔๘ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๖๐ ได้จำนองที่นาดังกล่าวแก่นางขอมที่หอทะเบียนที่ดินเป็นเงิน ๑๕๐ บาท มอบนาให้นางขอมทำกินต่างดอกเบี้ย เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๔ โจทก์ทราบว่านายจ้อมบิดาจำเลยได้ขอรับมรดกนาพิพาทตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๖๙ โดยนายจ้อมแจ้งต่อพนักงานที่ดินว่า นายจ้อมเป็นบุตรนายทา นายจ้อมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๐๓ จำเลยได้ครอบครองนาพิพาทต่อมา ขอให้พิพากษาว่าการโอนรับมรดกที่นาพิาทของานายจ้อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนเสีย และขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นทายาทนายทา ให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนโฉนดใส่ชื่อโจทก์กรรมสิทธิ์ต่อไป และให้จำเลยออกจากนาพิพาท
จำเลยให้การว่า นายทาจำนองที่นาพิพาทไว้กับนางขอมจริง นายจ้อมบิดาจำเลยเป็นบุตรนายทาได้นำเงิน ๒๕๐ บาทไปไถ่จำนอง นางขอมคืนโฉนดที่ดินให้นายจ้อมแต่ยังไม่ทันจดทะเบียนไถ่จำนองนางขอมตายเสียก่อน เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๖๙ นายจ้อมบิดาจำเลยร้องขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดินไม่มีผู้ใดคัดค้าน เจ้าพนักงานโอนใส่ชื่อนายจ้อมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นายจ้อมได้ครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี แล้วยกให้จำเลยครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปีแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิเป็นเจ้าของที่พิพาท และคดีโจทก์ขาดอายุความมรดกแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยแถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า นายจ้อมบิดาจำเลยไม่ใช่บุตรนายทา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนมรดกที่นาพิพาทที่นายจ้อมบิดาจำเลยเป็นผู้รับมรดก และลงชื่อโจทก์เป็นผู้รับมรดกต่อไป กับให้จำเลยออกไปจากนาพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นบุตรนายทา มีสิทธิรับมรดกนายทาจำเลยเป็นบุตรนายจ้อม ๆ ไม่ใช่บุตรนายทา ไม่มีสิทธิรับมรดก เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๖๐ นายทาจำนองนาพิพาทมีโฉนดไว้กับนางขอม ต่อมานายทาถึงแก่กรรม นายจ้อมนำเงินไปไถ่ นางขอมคืนโฉนดให้นายจ้อม แต่ไม่ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจนบัดนี้ ต่อมาวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๖๙ นายจ้อมได้ไปร้องขอรับมรดกโดยแจ้งเท็จว่าเป็นบุตรนายทาเจ้าพนักงานหลงเชื่อได้โอนใส่ชื่อนายจ้อมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตั้งแต่นั้นมานายจ้อมได้เข้าครอบครองนาพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ ฝ่ายโจทก์ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลก็รู้เห็น แต่มิได้โต้แย้งหรือขัดขวางประการใด นายจ้อมเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาร นายจ้อมจายปี พ.ศ.๒๕๐๓ จำเลยจึงเข้าครอบครองต่อตลอดมา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายจ้อมบิดาจำเลยมิใช่บุตรของนายทา และไม่มีสิทธิรับมรดกนายทา แต่ได้ไปไถ่นาพิพาทเอามาเป็นของตน และต่อมาก็ได้ไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า นายจ้อมเป็นบุตรนายทาเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกนายทา เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อได้โอนใส่ชื่อนายจ้อมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นาพิพาทในโฉนด และนายจ้อมได้ครอบครองนาพิพาทอย่างถือตนเป็นเจ้าของโดยฝ่ายโจทก์ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันรู้เห็น และมิได้โต้แย้งหรือขัดขวางประการใดตลอดมาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปีแล้ว ถือได้ว่านายจ้อมได้ครอบครองนาพิพาทโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘ เมื่อนายจ้อมครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี นายจ้อมก็ได้กรรมสิทธิ์ในนาพิพาทตามมาตรา ๑๓๘๒ เมื่อนายจ้อมตายนาพิพาทก็ตกได้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์

Share