คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5599/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ป. เป็นผู้ใหญ่บ้านที่จำเลยขอให้ช่วยสืบหาคนร้ายที่ลักกระบือของตนเมื่อ ป. นัดผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกบ้านให้มาเจรจากับจำเลย ย่อมมีมูลทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายการที่จำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายเป็นค่ากระบือที่ถูกลักเอาไปเพื่อที่จะไปดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายโดยมี ป. ผู้ใหญ่บ้านฝ่ายผู้เสียหายเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้จนผู้เสียหายยอมให้เงินแก่จำเลยตามที่ ป. พูดไกล่เกลี่ย เป็นการใช้สิทธิของตนโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดฐานกรรโชก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกรรโชกทรัพย์จากผู้เสียหายขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง จำคุกคนละ 9 เดือนลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบรับกันว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนตำบลนิคมอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนเกิดเหตุกระบือของจำเลยที่ 1หายไป 1 ตัว รุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 ได้พบหัวและหนังกระบือของจำเลยที่ 1 อยู่ที่หมู่บ้านกระเบื้องใหญ่ จำเลยที่ 1 จึงขอให้นายปลื้ม สุขรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่เกิดเหตุช่วยสืบหาคนร้ายและแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอชุมพลบุรี ต่อมานายปลื้มนัดผู้เสียหายทั้งสามไปพูดจาตกลงกับจำเลยที่บ้านนายบุญมาหรือแหลมเพราะสงสัยว่าผู้เสียหายทั้งสามจะเป็นผู้ลักกระบือของจำเลยที่ 1 ไป จำเลยทั้งสองได้รับเงินจากผู้เสียหายทั้งสามจำนวน 2,000 บาท โดยนางทองศรีมารดานายเสถียรผู้เสียหายคนหนึ่งเป็นคนมอบให้เพื่อที่จำเลยทั้งสองจะไม่ดำเนินคดีฟ้องร้องเอาความกับผู้เสียหายทั้งสาม ข้อเถียงกันจึงมีว่าจำเลยทั้งสองได้เงินมาโดยจำเลยทั้งสองได้ข่มขู่เรียกร้องให้ผู้เสียหายทั้งสามเกิดความกลัวจึงยินยอมมอบเงินให้หรือว่าผู้เสียหายทั้งสามยินยอมมอบเงินให้เองตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสอง เห็นว่าโจทก์มีผู้เสียหายทั้งสามมาเบิกความตรงกันว่าผู้เสียหายทั้งสามมิได้ลักกระบือของจำเลยทั้งสองไป การที่ผู้เสียหายทั้งสามมอบเงินให้จำเลยทั้งสองไปเนื่องจากจำเลยทั้งสองพูดขู่เข็ญว่าให้ใช้เงิน 6,000 บาท แล้วเลิกกัน ถ้าไม่ให้เงินจะเอาตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ มาจับตัวไปจมแม่น้ำมูล ผู้เสียหายทั้งสามมีความกลัว เพราะเคยทราบข่าวว่าตำรวจดังกล่าวจับคนไปจมแม่น้ำมูลโดยไม่ปรากฏสาเหตุมาหลายรายแล้ว นอกจากนี้นายเสถียรยังเบิกความว่าขณะอยู่บ้านที่เกิดเหตุ นายใสและนายสุพรรณผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอยู่ด้วยนายบุญเลี้ยงว่านอกจากนายปลื้มแล้ว นายแหลมและนายสุพรรณยังช่วยจำเลยที่ 1 พูดด้วย ส่วนนายถาวรก็เบิกความสนับสนุนว่านายปลื้มและนายสุพรรณพูดขู่พวกผู้เสียหายเช่นกันแต่นายปลื้ม สุขรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านและนายสุพรรณ เปล่งฉวีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านที่เกิดเหตุซึ่งนายเสถียรและนายถาวรผู้เสียหายเป็นลูกบ้านกับนายใส อินทจันทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านกระเบื้องน้อยซึ่งเป็นหมู่บ้านของนายบุญเลี้ยงผู้เสียหายต่างมาเบิกความเป็นพยานจำเลยสอดคล้องกันว่า นายปลื้มเป็นผู้ที่สอบถามผู้เสียหายทั้งสามว่ามีคนสงสัยว่าพวกผู้เสียหายเป็นคนลักกระบือของจำเลยที่ 1 ถ้าลักไปจริงก็ให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยที่ 1 จะไม่เอาเรื่องจำเลยที่ 1 เรียกค่าเสียหาย 6,000 บาทพวกผู้เสียหายต่อรองราคาแล้วตกลงจะชำระให้ 2,000 บาท ขณะที่เจรจาตกลงกัน ไม่มีผู้ใดพูดข่มขู่ผู้เสียหายทั้งสาม เห็นว่าระหว่างที่ผู้เสียหายทั้งสามเจรจาตกลงกับจำเลยมีบุคคลอื่นร่วมรู้เห็นหลายคนล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกับพวกผู้เสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายปลื้มนายใสและนายสุพรรณพยานจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีหน้าที่ปกครองดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน มิได้มีความสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสองเป็นพิเศษแต่อย่างใด ทั้งไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายทั้งสามมาก่อนจึงไม่มีเหตุผลที่จะร่วมมือกับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคนต่างท้องที่พูดข่มขู่ผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกบ้านของตนดังคำเบิกความของผู้เสียหาย น่าเชื่อว่าพยานจำเลยทั้งสามอยู่ในที่เกิดเหตุขณะที่พวกผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองเจรจาตกลงกันเพื่อเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยมิให้จำเลยทั้งสองดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายทั้งสามซึ่งอยู่ในความปกครองของตนมากกว่า คำเบิกความของพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้พูดข่มขู่หรือขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายผู้เสียหายทั้งสาม แต่ผู้เสียหายทั้งสามยอมให้เงินแก่จำเลยทั้งสองตามที่นายปลื้มพูดไกล่เกลี่ยนายปลื้มเป็นผู้ใหญ่บ้านจำเลยทั้งสองขอให้ช่วยสืบหาคนร้ายที่ลักกระบือของตน เมื่อนายปลื้มนัดผู้เสียหายทั้งสามซึ่งเป็นลูกบ้านให้มาเจรจากับจำเลยทั้งสองย่อมมีมูลทำให้จำเลยทั้งสองเข้าใจว่าผู้เสียหายทั้งสามเป็นคนร้าย การที่จำเลยทั้งสองเรียกเงินจากผู้เสียหายทั้งสามเป็นค่ากระบือที่ถูกลักเอาไปเพื่อที่จะไม่ดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายทั้งสาม โดยมีผู้ใหญ่บ้านฝ่ายผู้เสียหายเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้ จึงเป็นการใช้สิทธิของตนโดยสุจริตไม่เป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share