คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5591/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้จะไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาจะจำหน่ายหนังสือ เพราะขณะนั้นยังไม่มีการจัดตั้งจำเลยที่ 1 แต่พฤติการณ์ต่อมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนั้นได้รับและถือเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญากับโจทก์ โดยการจัดจำหน่ายหนังสือนวนิยาย 6 เรื่องต่อไป ถือว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทราบและถูกผูกพันตามข้อตกลงสัญญาดังกล่าว
การที่หนังสือนวนิยาย 11 เรื่องยังคงมีวางจำหน่ายหลังจากระยะเวลาที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลานาน ไม่อาจใช้เป็นข้อสันนิษฐานรับฟังให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 1 ได้ และการที่ราคาหนังสือนวนิยายแตกต่างกันอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น เช่น มีการจัดพิมพ์หนังสือนวนิยายนั้นมาเป็นเวลานานโดยกรรมวิธีแบบเก่าจึงไม่สามารถจำหน่ายในราคาที่แข่งขันกับหนังสือนวนิยายฉบับที่พิพม์ใหม่ได้ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า หนังสือนวนิยายของกลางเป็นงานที่ลักลอบพิมพ์ใหม่หรือทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ลำพังการที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือนวนิยายดังกล่าววางจำหน่ายย่อมไม่อาจถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยายของโจทก์จำนวน 6 เรื่อง ต่อมาจำเลยทั้งหกให้จำเลยที่ 2 ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่ากระทำละเมิดลิขสิทธิ์จริง แต่ขอจำหน่ายหนังสือนวนิยายทั้ง 6 เรื่อง ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งหกให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี โดยชำระค่าตอบแทนให้โจทก์จำนวน 120,000 บาท ต่อมาโจทก์สืบทราบว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันจำหน่ายหนังสือนวนิยายที่ละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์จำนวน 15 เรื่อง รวม 36 เล่ม ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดหนังสือดังกล่าวไว้เป็นของกลาง นอกจากนี้ โจทก์ยังทราบว่าจำเลยทั้งหกได้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือของโจทก์ตลอดมา อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์และเป็นการกระทำผิดข้อตกลงฉบับลงวันที่ 18 เมษายน 2533 ซึ่งจำเลยทั้งหกทำไว้กับโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งหกให้การว่า จำเลยทั้งหกไม่ได้มอบหมายหรือยอมรับให้จำเลยที่ 2 ไปทำบันทึกข้อตกลงตามฟ้องกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวก่อนที่จะจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งหกไม่ผูกพันต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ จำเลยทั้งหกไม่ได้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือนวนิยายทั้ง 15 เรื่อง อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์บังคับข่มขู่ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายดังกล่าวเพิ่ม โดยโจทก์ขยายเวลาอนุญาตให้จำเลยที่ 2 จำหน่ายออกไปอีก 2 ปี ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้จำหน่ายหนังสือหมดภายใน 2 ปี โดยไม่พิมพ์หนังสือดังกล่าวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับรองว่ามีเหตุอันควรที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า โจทก์เป็นนักประพันธ์ ใช้นามปากกาว่า “ทมยันตี” “โรสลาเรน” “กนกเรขา” และ “ลักษณวดี” ได้ประพันธ์นวนิยายหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องคู่กรรม สายรุ้ง ล่า ทิพย์ สายสัมพันธ์ และดาวเรือง เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2533 จำเลยที่ 2 ได้จ่ายเงินจำนวน 120,000 บาท ให้แก่โจทก์ และสัญญาว่าจะจำหน่ายหนังสือนวนิยาย 6 เรื่อง ดังกล่าวทั้งหมดในครอบครองให้หมดในระยะเวลา 2 ปี ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 มีการยึดหนังสือนวนิยายอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ได้จำนวน 15 เรื่อง รวม 36 เล่ม จากจำเลยที่ 1 คือเรื่องคู่กรรม สายรุ้ง ล่า ทิพย์ ดาวเรือง จิตา ฌาน แผลหัวใจ มงกุฎหนาม มายา ยอดอนงค์ พ่อม่ายทีเด็ด ไอ้คุณผี สายใจ และทางรัก ซึ่งมีนวนิยายที่ตกลงกันรวมอยู่ด้วย โจทก์เคยอนุญาตให้บุคคลอื่นรวมทั้งจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิในงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวของโจทก์
คดีนี้โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างอุทธรณ์ จึงเห็นควรรวมพิจารณาไปพร้อมกัน โดยเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยายจำนวน 5 เรื่อง คือ สายสัมพันธ์ สายรุ้ง ล่า ทิพย์ และดาวเรือง ตามที่ตกลงตามสัญญาจะจำหน่ายหนังสือหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ในทำนองว่า นวนิยายดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์จากโจทก์ถูกต้อง หากแต่จำเลยที่ 2 ถูกข่มขู่และขณะนั้นตรวจหาเอกสารไม่พบ จำเลยที่ 2 จึงยอมทำสัญญาให้แก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 จัดตั้งขึ้นภายหลังจากที่มีการทำสัญญาแล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องด้วย โดยในประเด็นนี้โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความประกอบสัญญายืนยันว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับว่า ได้ละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยาย 6 เรื่อง ของโจทก์จริง ยอมชำระเงินจำนวน 120,000 บาท ให้แก่โจทก์ และรับว่าจะจำหน่ายหนังสือนวนิยายดังกล่าวทั้งหมดในครอบครองให้หมดในระยะเวลา 2 ปี ขณะนั้นโจทก์อยู่กับแม่บ้านเป็นผู้หญิงอีก 1 คน จำเลยที่ 2 ทำเอกสารด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีการข่มขู่กันแต่อย่างใด ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากการตกลงเกือบ 10 ปี ยังมีการตรวจพบหนังสือนวนิยายอีก 5 เรื่อง ดังกล่าวอีก เท่ากับว่าจำเลยที่ 2 ผิดข้อตกลงและละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 รู้และร่วมกระทำการดังกล่าวด้วย ส่วนฝ่ายจำเลยอ้างสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในนวนิยาย 5 เรื่องและอ้างว่าขณะนั้นหาไม่พบ จึงยอมทำสัญญาจะจำหน่ายหนังสือ เห็นว่า หากจำเลยที่ 2 หาเอกสารไม่พบในขณะนั้นจริงก็สามารถกล่าวอ้างและขอทำการตรวจสอบจากเอกสารที่อยู่กับโจทก์ได้ ทั้งตามคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่ามีการบังคับข่มขู่เช่นใด จำเลยที่ 2 คงเบิกความในทำนองว่า เกรงว่าจะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีเท่านั้น จึงไม่น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 เกรงกลัวจนยอมทำสัญญาซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างในอุทธรณ์ทำนองว่า เอกสารมีการทำมาเป็นเวลานานแล้วกับมีการย้ายบ้านทำให้เอกสารสูญหายหรือเก็บไม่เป็นที่นั้น แต่จำเลยที่ 2 ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับธุรกิจการพิมพ์และจำหน่ายหนังสือมาเป็นเวลานาน สมควรทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่มีความสำคัญเพียงใด หากยังต้องใช้ในการพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแล้วควรจะต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะหาเอกสารไม่พบจนต้องทำสัญญาให้แก่โจทก์ และต้องเสียเงินเพิ่มถึง 120,000 บาท เพียงเพราะความกลัวหรือถูกข่มขู่ว่าจะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีตามที่อ้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาโดยยอมรับว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายของโจทก์และจะจำหน่ายหนังสือนวนิยายจำนวน 6 เรื่องให้หมดในระยะเวลา 2 ปี โดยสมัครใจ ถือได้ว่าเป็นการที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 2 จำหน่ายหนังสือนวนิยาย 6 เรื่องนี้ภายในกำหนด 2 ปี เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 รับว่าหนังสือนวนิยาย 5 เรื่องดังกล่าวยังจำหน่ายไม่หมดและยังวางจำหน่ายอยู่ภายหลังจากระยะเวลา 2 ปี ตามที่ตกลงกันแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในนวนิยาย 5 เรื่อง ของโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น แม้จะได้จัดตั้งขึ้นภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่ได้จัดตั้งขึ้นหลังจากทำสัญญาดังกล่าวเพียง 1 ปีและอยู่ในช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 2 เป็นภริยาของนายเกษมผู้ประกอบกิจการร้านและสำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ต่อมามีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดบูรพาสาส์นและจดทะเบียนเลิกห้าง แล้วจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 1 แทน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ แม้จะไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญา เพราะขณะนั้นยังไม่มีการจัดตั้งจำเลยที่ 1 แต่พฤติการณ์ต่อมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนั้นได้รับและถือเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญากับโจทก์ โดยการจัดจำหน่ายหนังสือนิยาย 6 เรื่องดังกล่าวต่อไป ถือว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทราบและถูกผูกพันตามข้อตกลงในการจำหน่ายนวนิยาย 6 เรื่อง ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 ปีด้วย หาใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ขายหนังสือนวนิยาย 6 เรื่อง ทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ตามข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยาย 5 เรื่อง ดังกล่าวต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยดังกล่าวมีความสัมพันธ์เป็นญาติกับจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาเดียวกับจำเลยที่ 1 ทั้งเป็นผู้เริ่มจัดตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 มีการยอมรับรู้ในเรื่องที่มาของนวนิยาย โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดบูรพาสาส์น จึงต้องทราบเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ในนวนิยายของโจทก์ เห็นว่า การเป็นญาติกันก็ดี การเป็นผู้เริ่มจัดตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นก็ดี ยังไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่า บุคคลดังกล่าวจะต้องรับทราบข้อเท็จจริงในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยทั้งหมด เพราะการดำเนินการใด ๆ ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลย่อมแยกต่างหากจากจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ได้ นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือร่วมละเมิดสิทธิ์ของโจทก์ในนวนิยาย 5 เรื่อง ดังกล่าวในลักษณะใด คดีจึงยังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในนวนิยาย 5 เรื่อง ดังกล่าวต่อโจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ในนวนิยายอีก 11 เรื่อง คือเรื่องคู่กรรม จิตา ฌาน แผลหัวใจ มงกุฎหนาม มายา ยอดอนงค์ พ่อม่ายทีเด็ด ไอ้คุณผี สายใจ และทางรัก หรือไม่ ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งหกทราบเรื่องดี เพราะราคาจำหน่ายหนังสือนวนิยายดังกล่าวแตกต่างจากราคาจำหน่ายหนังสือนวนิยายซึ่งมีลิขสิทธิ์ถูกต้องเป็นจำนวนมาก การซื้อหรือรับฝากหนังสือนวนิยายอีก 11 เรื่อง นี้มาจำหน่ายจึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องและทางนำสืบพยานของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งหกกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ในนวนิยายเหล่านี้ด้วยการพิมพ์หรือทำซ้ำแต่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยการวางจำหน่ายนวนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า หนังสือนวนิยายของกลางนี้เป็นหนังสือนวนิยายที่ได้พิมพ์หรือทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่า นิยายเหล่านี้เคยอนุญาตให้บริษัทรวมสาส์น (1997) จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงสาส์น พิมพ์และจำหน่ายได้ภายในระยะเวลาของสัญญาแต่ผ่านพ้นมาเป็นเวลานานแล้ว บริษัทรวมสาส์น (1997) จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงสาส์น ซึ่งมีนายปิติเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและหุ้นส่วนผู้จัดการได้ลักลอบพิมพ์และจำหน่ายหลังจากที่สัญญาหมดอายุไปแล้ว ส่วนจำเลยทั้งหกมีนายปิติมาเบิกความในทำนองว่า บริษัทรวมสาส์น (1997) จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงสาส์นจัดพิมพ์หนังสือนวนิยายถูกต้องตามสัญญา แต่จำหน่ายไม่หมด เพราะเมื่อพ้นระยะเวลาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์แล้ว โจทก์อนุญาตให้สำนักพิมพ์อื่นจัดพิมพ์หนังสือนวนิยายดังกล่าวด้วยซึ่งมีรูปเล่มและการตลาดดีกว่า เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาเป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของพยานโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งหกยืนยันว่าหนังสือนวนิยายของกลางเป็นหนังสือนวนิยายที่บริษัทรวมสาส์น (1997) จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงสาส์นจัดพิมพ์โดยมีลิขสิทธิ์ถูกต้องแต่ยังจำหน่ายไม่หมด พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มีน้ำหนักพอรับฟังว่า บริษัทรวมสาส์น (1997) จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงสาส์นลักลอบพิมพ์หนังสือนวนิยายขึ้นอีกโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ และการที่หนังสือนิยายดังกล่าวยังคงมีวางจำหน่ายหลังจากระยะเวลาที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลานาน ก็ไม่อาจใช้เป็นข้อสันนิษฐานรับฟังให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 1 ได้ ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่า จำเลยทั้งหกทราบดีว่าหนังสือนวนิยายดังกล่าวเป็นงานอันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์นั้นก็ยังไม่อาจรับฟังแน่ชัดว่า การที่ราคาหนังสือนวนิยายแตกต่างกันมากเป็นเพราะหนังสือนวนิยายที่จำเลยที่ 1 วางจำหน่ายเป็นงานอันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ และจำเลยทั้งหกมีเหตุอันควรรู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะการที่ราคาหนังสือนวนิยายแตกต่างกันอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น เช่น มีการจัดพิมพ์หนังสือนวนิยายนั้นมาเป็นเวลานานโดยกรรมวิธีแบบเก่าจึงไม่สามารถจำหน่ายในราคาที่แข่งขันกับหนังสือนวนิยายฉบับที่พิมพ์ใหม่ได้ตามที่จำเลยทั้งหกนำสืบก็เป็นได้ พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมานั้นจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า หนังสือนวนิยายของกลางเป็นงานที่ลักลอบพิมพ์ใหม่หรือทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ลำพังการที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือนวนิยายดังกล่าววางจำหน่ายย่อมไม่อาจถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ดังนั้น จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในนวนิยายอีก 11 เรื่อง ดังกล่าวแต่อย่างใด ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามาจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพียงใด เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนำสืบของอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกใช้สิทธิในการพิมพ์และจำหน่ายหนังสือนวนิยาย 5 เรื่อง ดังกล่าวด้วย ทั้งข้อที่ว่าโจทก์สูญเสียรายได้จากการที่มีผู้ซื้อหนังสือนวนิยายที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจากโจทก์ยังเป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์เท่านั้น เนื่องจากโจทก์ไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนยอดจำหน่ายที่ขาดหรือลดไปเพราะเหตุนี้มาแสดงต่อศาล ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เป็นหนังสือจำนวน 22 เล่ม และกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท นับว่าสมควรแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share