แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อ. ลูกจ้างของโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบซ่อมแซมเครื่องจักร และบางครั้งสามารถสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักรเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาจัดซื้อ โดยพิจารณาสินค้าจากตัวแทนขายต่าง ๆ การที่ อ. นัดหมายตัวแทนขายรับประทานอาหารและเรียกเงินเป็นค่าตอบแทนในการอำนวยความสะดวกติดต่อซื้อขายอะไหล่เครื่องยนต์ แม้ว่าการสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักรที่จะซื้อจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของ อ. ก็ตาม แต่ อ. ก็ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยและได้เรียกรับเงินจากตัวแทนขายอันเป็นบุคคลภายนอกในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยโอกาสในการทำงานกับโจทก์ เป็นการประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อสัตย์ ทำให้บุคคลภายนอกขาดความเชื่อถือและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงทางทำมาหาได้ของโจทก์โดยตรง จึงเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานตรวจแรงงานได้รับเรื่องราวร้องทุกข์จากนายอภิเชษฐ และมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสงขลา ที่ 11/2548 ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยแก่นายอภิเชษฐ เป็นเงิน 26,460 บาท ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 9 รับฟังข้อเท็จจริงว่า นายอภิเชษฐนัดหมายนายอำไพรับประทานอาหารและเรียกเงินเป็นค่าตอบแทนในการอำนวยความสะดวกติดต่อซื้อขายอะไหล่เครื่องยนต์จริง และปรากฏตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสงขลา ที่ 11/2548 ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำสั่งเป็นที่ยุติในชั้นศาลแรงงานภาค 9 ว่า นายอภิเชษฐมีหน้าที่รับผิดชอบซ่อมแซมเครื่องจักร และบางครั้งสามารถสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักรที่จะซื้อเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาจัดซื้อ โดยพิจารณาสินค้าจากตัวแทนขายต่าง ๆ รวมทั้งนายอำไพตัวแทนขายของห้างหุ้นส่วนจำกัดสิริฉัตรเทรดดิ้ง ดังนั้นการที่นายอภิเชษฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ซ่อมแซมสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักร นัดหมายนายอำไพตัวแทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดสิริฉัตรเทรดดิ้ง รับประทานอาหารและเรียกเงินเป็นค่าตอบแทนนั้น แม้ว่าการสืบเสาะราคาอุปกรณ์เครื่องจักรที่จะซื้อจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของนายอภิเชษฐก็ตาม แต่นายอภิเชษฐก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยและได้เรียกรับเงินจากตัวแทนขายอันเป็นบุคคลภายนอกในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยโอกาสในการทำงานกับโจทก์เป็นการประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อสัตย์ ทำให้บุคคลภายนอกขาดความเชื่อถือและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงทางทำมาหาได้ของโจทก์โดยตรง จึงเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) และการกระทำดังกล่าวยังเป็นความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ บทที่ 7 ระเบียบวินัยและการดำเนินการทางวินัย ข้อ 33 ความซื่อสัตย์ ข้อย่อย 5 ที่ห้ามมิให้พนักงานหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และเป็นความผิดร้ายแรงตามข้อ 36 เรื่องการเสนอหรือยอมรับอามิสสินจ้างในการทำงาน ซึ่งกำหนดให้ลงโทษเพียงการไล่ออกขั้นตอนเดียว เมื่อนายอภิเชษฐกระทำความผิดต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) โจทก์ผู้เป็นนายจ้างจึงมีสิทธิเลิกจ้างนายอภิเชษฐลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษาว่าการกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นกรณีร้ายแรงซึ่งนายจ้างจะต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสงขลา ที่ 11/2548 ลงวันที่ 20 เมษายน 2548.