แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สำเนาคำแถลงและหน้าสำนวนเป็นเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นในคดีก่อน เป็นเอกสารในสำนวนคดีเรื่องอื่นอันต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคสาม (1) จึงไม่ต้องห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดี
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแต่ในสารบัญจดทะเบียนระบุว่าเป็นการให้เพราะไม่ต้องการเสียภาษีมาก เท่ากับกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำนิติกรรมยกให้อำพรางนิติกรรมซื้อขาย นิติกรรมยกให้จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 118 วรรคหนึ่ง เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่) และต้องบังคับตามนิติกรรมซื้อขายที่ถูกอำพรางไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 118 วรรคสอง เดิม (มาตรา 155 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) เมื่อสัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารสารบัญจดทะเบียนตามสำเนาโฉนดที่ดินและตามสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ขอให้เพิกถอนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๓๓ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า การโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ระบุในสารบัญจดทะเบียนว่าเป็นการให้เพราะโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องการเสียภาษีมาก โจทก์นำเหตุการจดทะเบียนโอนให้มาฟ้องโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางถาวร แสงพงศานนท์หรือศุภสรรพตระกูล จำเลยที่ ๒ ทายาทของจำเลยที่ ๑ เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ค. แต่งงานกับ ต. มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรของจำเลยที่ ๑ ต่อมา ต. แต่งงานกับ จ. และ จ. ยังได้ บ. เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือโจทก์ซึ่ง ต. เป็นผู้เลี้ยงดูโจทก์ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๒๖๓๓ ตามสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ. ๓ เดิมมีชื่อ ต. ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๑ ต. ให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย แต่ปรากฏว่าในปี ๒๕๒๕ ต. ได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่ง ขอให้เพิกถอนนิติกรรม ตามสำเนาหน้าสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๘๕/๒๕๒๕ ของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย ล. ๒ ครั้นต่อมาในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๖ ต. กับโจทก์ตกลงกันได้โดยตกลงขายที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าวนำเงินมาแบ่งกัน ต. จึงถอนฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวตามสำเนาคำแถลงลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๖ ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นเอกสารหมาย ล. ๑ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๒๙/๒๕๒๖ ดังปรากฏตามสำเนาหน้าสำนวนเอกสารหมาย ล. ๒ ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ ให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า ๗ วัน ตามกฎหมาย จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ นั้น ปรากฏว่าสำเนาคำแถลงเอกสารหมาย ล. ๑ เป็นเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับคำแถลงในคดีแพ่งที่ ต. ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย เรื่องเพิกถอนนิติกรรมที่ดิน ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๘๕/๒๕๒๕ หมายเลขแดงที่ ๒๒๙/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น และสำเนาหน้าสำนวนเอกสารหมาย ล. ๒ ก็เป็นเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับหน้าสำนวนของคดีดังกล่าว เอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ จึงเป็นเอกสารในสำนวนคดีเรื่องอื่น อันต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า ๗ วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ วรรคสาม (๑) จำเลยที่ ๑ ย่อมอ้างเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ เป็นพยานหลักฐานตามที่โจทก์อ้างในฎีกา และถึงแม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ได้นำทนายโจทก์และทนายจำเลยในคดีดังกล่าวมาเบิกความยืนยันถึงความมีอยู่ของเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ ตามที่โจทก์อ้างในฎีกา ก็ไม่มีเหตุทำให้น่าสงสัยถึงความมีอยู่และความแท้จริงของเอกสารดังกล่าว เพราะเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ เป็นเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๘๕/๒๕๒๕ หมายเลขแดงที่ ๒๒๙/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น โดยเฉพาะมีรองจ่าศาลของศาลชั้นต้นรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารหมาย ล. ๑ เป็นหลักฐานด้วย
ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า การที่จำเลยที่ ๑ นำสืบว่านิติกรรมในสารบัญจดทะเบียนตามสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ. ๓ ระบุว่าเป็นการให้ แต่ความจริงเป็นการซื้อขายที่ดินพิพาท จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร เป็นการต้องห้ามมิให้รับฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ นั้น เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้มีใจความว่า ในคดีที่ ต. ฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ต. กับโจทก์ตกลงกันได้โดย ต. ถอนฟ้อง โจทก์ขอรับเงินจากจำเลยที่ ๑ และโอนที่ดินคืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ในการโอนที่ดินจากโจทก์มายังจำเลยที่ ๑ ในสารบัญจดทะเบียนระบุเป็นการให้ไม่ระบุว่าเป็นการขายเพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องการที่จะเสียภาษีมาก เท่ากับเป็นการต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ อันเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้ทำนิติกรรมยกให้อำพรางนิติกรรมการซื้อขายซึ่งต้องบังคับตามนิติกรรมซื้อขายที่ถูกอำพรางไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (หรือมาตรา ๑๕๕ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) นิติกรรมการยกให้เป็นการแสดงเจตนาลวงย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (หรือมาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่) เมื่อสัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารสารบัญจดทะเบียนตามสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ. ๓ และตามสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ. ๕ ไม่สมบูรณ์เช่นนี้ จำเลยที่ ๑ จึงนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ วรรคท้าย เมื่อวินิจฉัยมาดังกล่าวแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออ้างประการอื่น ๆ ในฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับปัญหาข้อนี้อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง และเมื่อได้วินิจฉัยในปัญหาข้อแรกข้างต้นแล้วว่าโจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นการให้โดยเสน่หาตามที่โจทก์กล่าวอ้าง กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่าโจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยที่ ๑ ประพฤติเนรคุณหรือไม่อีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.