คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13124/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (2) จะต้องเป็นการห้ามมิให้กระทำซ้ำซึ่งการละเมิดหรือการผิดสัญญา หรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หากกรณีไม่ใช่เรื่องดังกล่าว จะต้องเป็นการห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอน ขาย ยักย้าย หรือจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลย หรือมีคำสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือบุบสลายซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว
คำร้องของโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 พยายามจะให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการขอจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อกระทรวงมหาดไทย หากดำเนินการจนกรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยที่ 1 โจทก์จะได้รับความเสียหายยากที่จะดำเนินการให้ที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ แม้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองแต่โจทก์ก็ยังมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทก่อนจำเลยที่ 1 คำร้องของโจทก์ไม่เข้าเหตุดังกล่าวข้างต้น เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้พยายามโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นแต่อย่างใด จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะขอคุ้มครองชั่วคราวได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 กับบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 76,274,100 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องจำนวน 2,350,800 บาท รวมเป็นเงิน 78,624,900 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 76,274,100 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 พยายามที่จะให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการขอจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อกระทรวงมหาดไทย หากจำเลยที่ 1 ดำเนินการจนที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โจทก์จะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โดยหากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ย่อมเป็นการยากที่จะดำเนินการให้ที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์อีก ทำให้โจทก์เสียสิทธิในที่ดินพิพาทตามกฎหมาย แม้หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง แต่โจทก์ก็ยังมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทก่อนจำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 ดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจนกว่าศาลจะพิพากษาคดีถึงที่สุด
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุตามกฎหมายที่จะสั่งใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 พยายามดำเนินการให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยไม่รอคำพิพากษาอันถึงที่สุดก่อน หากจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และภายหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงมีเหตุที่จะขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2) นั้น เห็นว่า โจทก์เพียงแต่คาดการณ์เอาเท่านั้นว่าจำเลยที่ 1 อาจจะได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทั้งการขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2) นั้น จะต้องเป็นการห้ามมิให้กระทำซ้ำซึ่งการละเมิดหรือการผิดสัญญา หรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หากกรณีไม่ใช่เรื่องดังกล่าวแล้ว จะต้องเป็นการห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอนขาย ยักย้าย หรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลย หรือมีคำสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือบุบสลายซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว แต่กรณีตามคำร้องและฎีกาของโจทก์นี้ ไม่เข้าเหตุดังกล่าวข้างต้น เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้พยายามโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นแต่อย่างใด จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะขอคุ้มครองชั่วคราวได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2538 ที่โจทก์ยกขึ้นอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ จึงไม่อาจนำมาปรับใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกคำร้องของโจทก์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share