คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2964/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้าหนี้ทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดเมื่อภายหลังจากล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ก่อนหน้านี้จำเลยที่ 2 มาศาลในคดีแพ่งแต่ไม่ได้แถลงให้เจ้าหนี้และศาลทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เจ้าหนี้มิได้ขอรับชำระหนี้ การที่ศาลเห็นว่า เจ้าหนี้เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 2 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพ้นกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้แล้ว การจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จะทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย จึงให้ยกคำร้องที่ไม่ประสงค์จะเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสีย มีผลเท่ากับว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้ามาว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 25 แล้ว ส่วนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงอีกครั้งหนึ่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เสนอที่ประชุมเจ้าหนี้ ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติไม่ติดใจเข้าว่าคดีแพ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ประสงค์จะเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ติดใจที่จะนำพยานมาสืบหรือถามค้านพยานอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อทนายโจทก์แถลงว่าคดีไม่อาจตกลงกันได้ ขอให้ศาลสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งหมดไปก่อน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่ค้าน และยังแถลงอีกว่าไม่ประสงค์จะต่อสู้คดี จึงเห็นได้ชัดว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีฐานะเข้ามาเป็นคู่ความในคดีแล้ว เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แพ้คดีในคดีแพ่งดังกล่าว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ภายในกำหนดเวลาสองเดือน นับแต่วันคดีถึงที่สุดตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย (ลูกหนี้) ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2547 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 และโฆษณาในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 18 ตุลาคม 2547 เนื่องจากวันที่ 17 ตุลาคม 2547 ตรงกับวันหยุดราชการ ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2549 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน 53,296,373.68 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 และมาตรา 94 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำร้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ธ.711/2546 ขอไม่เข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 คดีจึงไม่มีเหตุตามมาตรา 93 ที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ จึงไม่รับคำขอรับชำระหนี้
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องคัดค้านว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2546 เจ้าหนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกรวม 6 คน ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ธ.711/2546 ทุนทรัพย์ 47,535,365.61 บาท ระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งหกได้เจรจาขอชำระหนี้กับเจ้าหนี้หลายครั้ง และศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีเพื่อรอฟังผลการเจรจา ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2548 เจ้าหนี้ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่าเพิ่งทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาด ขอเลื่อนคดีเพื่อให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทน ศาลสอบแล้ว จำเลยที่ 2 แถลงรับว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดจริง ศาลแพ่งจึงมีหมายแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาว่าคดีแทน ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2549 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งจำหน่ายคดีส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ เจ้าหนี้แถลงคัดค้านว่าเพิ่งทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโดยก่อนหน้านี้จำเลยที่ 2 มาศาล แต่ไม่ได้แถลงให้เจ้าหนี้และศาลทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหนี้ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่จะขอรับชำระหนี้แล้ว ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เจ้าหนี้เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 2 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพ้นกำหนดระยะเวลาที่เจ้าหนี้จะยื่นคำขอชำระหนี้ดังกล่าว การจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จะทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย จึงยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หลังจากนั้นวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงต่อศาลแพ่งขอไม่เข้าว่าคดีแทนศาลแพ่งอนุญาตตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลง ต่อมาศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 12,481,435.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2545 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 32,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 2,102,355.90 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 32,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และคดีดังกล่าวถึงที่สุด การที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549 จึงเป็นการขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองเดือน นับแต่วันที่คดีแพ่งถึงที่สุด เจ้าหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้พิจารณาต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคัดค้านว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลจำหน่ายคดีเพราะว่าในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้ของลูกหนี้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าหนี้ที่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดี ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27 ประกอบมาตรา 91 แต่ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำแถลงขอไม่เข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้เข้าว่าคดีที่ค้างพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ยกคำร้องของเจ้าหนี้
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาสองเดือน นับแต่วันที่คำพิพากษาของศาลแพ่งถึงที่สุด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 93 บัญญัติว่า “ในกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีที่ค้างพิจารณาอยู่แทนลูกหนี้ ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แพ้คดี เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 91 แต่ให้นับจากวันคดีถึงที่สุด” และมาตรา 25 บัญญัติว่า “ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจงดการพิจารณาคดีแพ่งนั้นไว้ หรือจะสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรก็ได้” ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่าเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2546 เจ้าหนี้ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกรวม 6 คนต่อศาลแพ่ง ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณา เจ้าหนี้ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่าเพิ่งทราบว่าศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดแล้ว ขอให้ศาลหมายเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาเป็นคู่ความแทน และศาลได้มีคำสั่งให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อสอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ในวันที่ 6 มีนาคม 2549 ครั้นถึงวันนัดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า ในคดีล้มละลายครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2547 แม้ว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือคดีอยู่ระหว่างพิจารณาก็จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27 และ 91 การพิจารณาคดีแพ่งต่อไปจะไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด ขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เจ้าหนี้ได้แถลงคัดค้านต่อศาลว่า เจ้าหนี้เพิ่งทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดเมื่อเดือนธันวาคม 2548 ก่อนหน้านี้จำเลยที่ 2 มาศาลในคดีแพ่งแต่ไม่ได้แถลงให้เจ้าหนี้และศาลทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เจ้าหนี้มิได้ดำเนินการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย จนล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าว หากศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ก็จะทำให้เจ้าหนี้เสียหาย ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เจ้าหนี้เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 2 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า พ้นกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวแล้ว การจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จะทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย จึงให้ยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสีย อันมีผลเท่ากับศาลแพ่งได้พิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 2 ต่อไป อันมีผลเท่ากับไม่อนุญาตตามคำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ขอให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และมีผลเท่ากับว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้ามาว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 25 แล้ว ส่วนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงอีกครั้งหนึ่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เสนอที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินคดีแพ่งต่อไปหรือไม่ อย่างไร ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติไม่ติดใจเข้าว่าคดีแพ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ประสงค์จะเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 โดยขอให้ศาลพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวนั้น จึงเป็นเพียงการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ติดใจที่จะนำพยานมาสืบหรือถามค้านพยานอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 ว่า เมื่อทนายโจทก์แถลงว่าคดีไม่อาจตกลงกันได้เพื่อไม่ให้คดีล่าช้า ขอให้ศาลสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งหมดไปก่อน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็แถลงไม่ค้าน และยังแถลงอีกว่าไม่ประสงค์จะต่อสู้คดี กรณีจึงเห็นได้ชัดว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีฐานะเข้ามาเป็นคู่ความในคดีแล้ว เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แพ้คดีในคดีแพ่งดังกล่าว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ภายในกำหนดเวลาสองเดือน นับแต่วันคดีถึงที่สุดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 คดีนี้ปรากฏว่า ในคดีหมายเลขดำที่ ธ711/2546 คดีหมายเลขแดงที่ ธ.2795/2549 ศาลแพ่งมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 และไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดในวันที่ 7 ธันวาคม 2549 เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549 เป็นการขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันคดีถึงที่สุด เจ้าหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share