คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5584/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นนำแบบพิมพ์คำให้การจำเลย (คดีรับสารภาพไม่ต้องสืบพยาน) มาใช้ แต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่อยู่ด้านหลังแบบพิมพ์ ปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์และจำเลยแถลงไม่สืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณาให้รอฟังคำพิพากษาวันนี้ โดยโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าการที่จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์จะต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 240 โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานโจทก์ต่อไป เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ศาลฟังลงโทษจำเลยในบทมาตราดังกล่าวได้ ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 240 จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 240, 244, 341 ริบธนบัตรและเครื่องพิมพ์ของกลาง และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1707/2560 ของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240, 244, 341 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปลอมและใช้ธนบัตรปลอม จำเลยเป็นผู้ปลอมขึ้นเองและธนบัตรที่จำเลยปลอมและนำออกใช้เป็นจำนวนเดียวกัน จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเงินตราซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 ปี ฐานฉ้อโกง จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานปลอมเงินตรา คงจำคุก 6 ปี 6 เดือน ฐานฉ้อโกง คงจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 7 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1707/2560 ของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้ากับโทษคดีนี้ รวมเป็นจำคุก 6 ปี 10 เดือน 15 วัน และริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240, 244 และ 341 โดยความผิดประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 240 ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท จึงเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย และศาลต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์และจำเลยแถลงไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงให้รอฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าว โดยโจทก์และจำเลยลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ศาลฟังลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง จึงไม่อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย และศาลไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์เสียก่อน ศาลชั้นต้นคงลงโทษจำเลยในบทมาตราดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย กรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นลดโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 ถูกต้องหรือไม่ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244, 341 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 จำคุก 1 ปี และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 1707/2560 ของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้ากับโทษคดีนี้ รวมจำคุก 16 เดือน 15 วัน ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นนำแบบพิมพ์คำให้การจำเลย (คดีรับสารภาพไม่ต้องสืบพยาน) และรายงานกระบวนพิจารณาที่เป็นแบบฟอร์มมาใช้โดยศาลชั้นต้นยังไม่มีการนัดสืบพยานโจทก์ให้ได้ความชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดหลง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สมควรจะยกเลิกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) โดยให้ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ หากถึงวันนัดสืบพยานแล้วโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบ จึงจะถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลพอใจ ไม่ใช่ดูจากแบบฟอร์มที่ศาลชั้นต้นนำมาใช้ผิดพลาดแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น พิเคราะห์แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะนำแบบพิมพ์คำให้การจำเลย (คดีรับสารภาพไม่ต้องสืบพยาน) มาใช้ แต่ก็ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่อยู่ด้านหลังแบบพิมพ์คำให้การดังกล่าวว่า นัดสอบคำให้การวันนี้ โจทก์และจำเลยมาศาล ก่อนเริ่มพิจารณาศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงว่าไม่มีและไม่ต้องการทนายความ อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์และจำเลยแถลงไม่สืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณาให้รอฟังคำพิพากษาวันนี้ และได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยฟังในวันนั้นเอง โดยโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวแล้ว ดังนี้ หากโจทก์เห็นว่าการที่จำเลยให้การรับสารภาพ แล้วโจทก์จะต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานโจทก์ต่อไป เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ศาลฟังลงโทษจำเลยในบทมาตราดังกล่าวได้ ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 มานั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 สถานหนักนั้น พิเคราะห์แล้ว การที่จำเลยมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้จำนวนมากถึง 14 ฉบับ คิดเป็นเงิน 14,000 บาท และนำธนบัตรปลอมเหล่านั้นออกใช้ชำระค่าสินค้าแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นสุจริตชน เป็นการกระทำที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 1 ปี ก่อนลดโทษให้นั้นเบาเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสมแก่รูปคดี ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา เพื่อให้เป็นธนบัตรซึ่งรัฐบาลออกใช้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 โดยใช้เครื่องพิมพ์ของกลางพิมพ์ธนบัตรปลอมออกมา เครื่องพิมพ์ของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดฐานดังกล่าว และเครื่องพิมพ์ของกลางมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดมีไว้เป็นความผิด ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบให้ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 จึงให้คืนแก่เจ้าของ
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ให้จำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1707/2560 ของศาลจังหวัดปทุมธานีเข้ากับโทษในคดีนี้แล้ว รวมจำคุก 1 ปี 10 เดือน 15 วัน ไม่ริบเครื่องพิมพ์ของกลางแต่ให้คืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share