คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 นั้น ข้อความเท็จที่ได้เบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีจึงจะเป็นความผิดฐานดังกล่าว ซึ่งหมายถึงต้องเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จนั้น แต่ตามคดีแพ่งของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ถูก ท. ฟ้องเรียกเงินคืน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ท. ผู้เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวชนะคดีโดยอาศัยพยานเอกสารในคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำเบิกความของพยานบุคคลนั้น เพียงแต่นำมารับฟังประกอบพยานเอกสารเท่านั้น และวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าโดยมิได้นำคำเบิกความของจำเลยนี้มาเป็นข้อวินิจฉัยให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกัน ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันและได้ร่วมกันเปิดบัญชีเงินฝากประเภทฝากประจำที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสมุทรสาคร โดยเปิดบัญชีเป็นเงิน 500 บาท มีเงื่อนไขว่าคนใดคนหนึ่งสามารถถอนเงินจากบัญชีได้ ตามคำขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาโจทก์ถูกนางทุเรียน ทองกำพร้า ผู้เป็นมารดาของจำเลยฟ้องเรียกเงินคืนโดยอ้างว่าโจทก์ได้ถอนเงินในบัญชีดังกล่าว ซึ่งเป็นเงินของนางทุเรียนไปและจำเลยเบิกความเป็นพยานฝ่ายนางทุเรียนว่าเงินในบัญชีดังกล่าวเป็นของนางทุเรียนถ้าจะเบิกเงินออกมาใช้จะต้องได้รับความยินยอมจากนางทุเรียนก่อน ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่นางทุเรียนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1189/2544 ของศาลชั้นต้น คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่ เห็นว่า ในความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 นั้น ข้อความเท็จที่ได้เบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีจึงจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ ซึ่งหมายถึงต้องเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จนั้น แต่ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2008/2541 หมายเลขแดงที่ 1189/2544 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ถูกนางทุเรียนฟ้องเรียกเงินคืนนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางทุเรียนผู้เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวชนะคดีโดยอาศัยพยานเอกสารในคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำเบิกความของพยานบุคคลนั้น เพียงแต่นำมารับฟังประกอบพยานเอกสารเท่านั้น และวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าโดยมิได้นำคำเบิกความของจำเลยนี้ที่ว่าถ้าเบิกเงินออกมาใช้จะต้องได้รับความยินยอมจากนางทุเรียนก่อน มาเป็นข้อวินิจฉัยให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกัน ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้ ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีที่โจทก์อ้างมาในฎีกาก็สนับสนุนข้อวินิจฉัยดังกล่าว หาใช่สนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ตามที่อ้างมาในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share