คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5569/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยและ ส. เป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาท ซึ่งเจ้าของรวมคนหนึ่งจะจำหน่ายทรัพย์สินโดยเจ้าของคนอื่นมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมให้ ส. ขายที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ แม้หนี้เงินกู้จะเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างจำเลยและ ส. สัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทก็หาผูกพันจำเลยไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย แต่โจทก์มีสิทธิเข้าสวมสิทธิของ ส. เรียกร้องให้แบ่งส่วนได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1101 พร้อมบ้าน ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว จำเลยได้บุกรุกเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าว โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไป จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินดังกล่าวและห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องอีก กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาท
จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยอาศัยอยู่มา 10 ปีเศษ เดิมบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของนายสุวิทย์กับจำเลยซึ่งหามาได้ร่วมกันระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ต่อมานายสุวิทย์ได้ยกให้แก่จำเลย โจทก์และนายสุวิทย์ได้สมคบกันไปทำนิติกรรมซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทโดยทราบอยู่แล้วว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว นิติกรรมซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทจึงใช้ไม่ได้บ้านและที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติแล้วว่าจำเลยและนายสุวิทย์เป็นสามีภริยากันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยและนายสุวิทย์ทำมาหาได้ร่วมกันดังนั้น จำเลยและนายสุวิทย์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเจ้าของรวมคนหนึ่งจะจำหน่ายทรัพย์สินโดยเจ้าของรวมคนอื่นมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสองตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้นายสุวิทย์โอนขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยดังนั้น แม้หนี้เงินกู้จะเป็นหนี้ร่วมก็ตาม สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างนายสุวิทย์กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 ก็หาผูกพันจำเลยไม่ เมื่อจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก บัญญัติให้เจ้าของรวมจำหน่ายส่วนของตนได้ โจทก์จึงเข้าสวมสิทธิของนายสุวิทย์ในการที่จะเรียกร้องให้แบ่งส่วนได้”
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอเข้าสวมสิทธิของนายสุวิทย์ใหม่.

Share