แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
หนังสือมอบอำนาจของผู้ร้องระบุมอบอำนาจให้ ว. ยื่นฟ้อง ต่อสู้คดีดำเนินการไปจนสำเร็จในศาลทั้งปวงแทนผู้รับมอบอำนาจ ว. จึงมีอำนาจกระทำการแทนผู้รับมอบอำนาจในการยื่นฟ้องและดำเนินคดีในศาลได้ทุกคดีโดยไม่มีกำหนดเวลาจนกว่าผู้มอบอำนาจจะเพิกถอนการมอบอำนาจนั้น
สัญญาการเป็นหุ้นส่วน เป็นสัญญาระหว่างผู้ร้องกับกลุ่มบุคคล กำหนดให้คู่สัญญาก่อตั้งบริษัทขึ้นภายใต้กฎหมายไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตสินค้าภายใต้สลากเครื่องหมายการค้าที่ตกลงกัน และในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเป็นสัญญาระหว่างผู้ร้องกับบริษัทผู้คัดค้าน โดยมีกลุ่มบุคคลลงลายมือชื่อในฐานะส่วนตัว และ อ. ลงลายมือชื่อในฐานะประธานบริษัทผู้คัดค้านซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในอนาคต โดยผู้ร้องมีวัตถุประสงค์ในการแต่งตั้งผู้คัดค้านให้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้ใบอนุญาตที่อนุมัติโดยผู้ร้องและภายใต้เครื่องหมายการค้าที่กำหนด สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นสัญญาที่ผู้ริเริ่มก่อการบริษัทผู้คัดค้านได้กระทำไว้เพื่อก่อตั้งบริษัทผู้คัดค้านเพื่อถือสิทธิตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ เมื่อผู้คัดค้านได้จดทะเบียนเป็นบริษัทตามกฎหมายไทยแล้วก็ได้เข้าถือสิทธิตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิดังกล่าว โดยผลิตและจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของผู้ร้อง และได้อ้างข้อตกลงที่ให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการตามที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิขึ้นต่อสู้คดีในศาล กับนำเสนอข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านต่ออนุญาโตตุลการ ดังนี้ถือว่าผู้คัดค้านได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าว ผู้คัดค้านจึงต้องผูกพันตามสัญญานั้น กรณีถือว่าผู้คัดค้านเข้าเป็นคู่สัญญาโดยชอบและมิได้บกพร่องในเรื่องความสามารถแต่อย่างใด
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลการของสมาคมอนุญาโตตุลากรอเมริกัน
ผู้คัดค้านคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกัน ดังนี้
1. ผู้ร้องมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า EARTHTEC ดีกว่าผู้คัดค้าน
2. ให้ผู้คัดค้านเลิกใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า EARTHTEC และดำเนินการเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว
3. สิทธิและประโยชน์ของผู้คัดค้านในเครื่องหมายการค้าคำว่า EARTHTEC และ PRISTINE (ที่ถูก PRISTINE BLUE) เป็นอันหมดสิ้นตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2540
4. ให้ผู้คัดค้านคืนเอกสารหรือสิ่งพิมพ์โฆษณาที่มีคำว่า EARTHTEC PRISTINE BLUE และ EARTH SCIENCE LABORATORIES แก่ผู้ร้อง ณ ภูมิลำเนาผู้ร้อง โดยค่าใช้จ่ายของผู้คัดค้าน
5. ให้ผู้คัดค้านเลิกใช้ชื่อ หรือกล่าวอ้างชื่อ หรือคำดัดแปลงชื่อ EARTH SCIENCE LABORATORIES INC.
6. ห้ามผู้คัดค้านรบกวนหรือขัดขวางตัวแทนจำหน่ายของผู้ร้องในการใช้เครื่องหมายการค้า EARTHTEC และ PRISTINE BLUE
7. ผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นของผู้คัดค้านนับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2537
8. ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้ร้องจ่ายเงินในฐานะผู้ถือหุ้นตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ
9. ผู้คัดค้านไม่อาจเรียกร้องจากผู้ร้องเกี่ยวกับการผิดสัญญาหุ้นส่วนหรือสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ
10. ให้ผู้คัดค้านดำเนินการตาม 1 ถึง 8 ภายใน 30 วันนับแต่วันมีคำพิพากษา
11. ให้ผู้คัดค้านชำระค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการเป็นเงิน 166,452.30 ดอลลาร์สหรัฐ
12. ให้ผู้คัดค้านชำระค่าฤชาธรรมเนียมในคดีนี้แทนผู้ร้อง โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ 10,000 บาท
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยผู้ร้องและผู้คัดค้านไม่โต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนผู้คัดค้านเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามกฎหมายไทย ผู้ร้องเป็นจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า EARTHTEC และ PRISTINE BLUE โดยจดทะเบียนไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2535 ผู้ร้องและบุคคลกลุ่มเดไซ ปาเต็ล ได้ทำสัญญาการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย ตามสัญญาการเป็นหุ้นส่วนและผู้ร้องทำสัญญาอนุญาตให้ผู้คัดค้านผลิตและจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของผู้ร้องตามสัญญาอนุญาตให้สิทธิ ปี 2536 ผู้คัดค้านนำเครื่องหมายการค้า EARTHTEC ไปจดทะเบียนในนามของผู้คัดค้าน ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญาตามทะเบียนเครื่องหมายการค้า และปี 2538 พวกผู้คัดค้านนำชื่อของผู้ร้องไปจดทะเบียนเป็นชื่อบริษัทว่า “บริษัทเอิร์ธซายส์ ลาบอราตอรี่ส์ จำกัด” ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียน ปี 2540 ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิต่อผู้คัดค้านตามหนังสือบอกเลิกสัญญา ปี 2541 ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า EARTHTEC ดีกว่าจำเลย ให้จำเลยยกเลิกการใช้เครื่องหมายการค้ากับขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว ผู้คัดค้านยื่นคำให้การสู้คดีและขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจำหน่ายคดีเนื่องจากมีข้อสัญญาเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญาการเป็นหุ้นส่วนและสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนแล้วมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่พิพาทไปดำเนินการทางวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามคดีหมายเลขแดงที่ ทป.29/2541 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ปี 2544 ผู้คัดค้านได้นำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการแห่งสหรัฐอเมริกา ณ นครนิวยอร์ค โดยอ้างว่าผู้ร้องผิดสัญญาการเป็นหุ้นส่วนและสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามหนังสือแจ้งของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกัน ผู้ร้องให้การปฏิเสธต่อสู้คดีและยื่นข้อโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านเป็นฝ่ายผิดสัญญาและร้องแย้งเพื่อบังคับผู้คัดค้านให้เลิกการใช้เครื่องหมายการค้าของผู้ร้อง เพิกถอนเครื่องหมายการค้าและชื่อบริษัทผู้ร้องออกจากทะเบียน อนุญาโตตุลาการแห่งสหรัฐอเมริกาวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดี มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจนำคดีสู่ศาลหรือไม่ โดยผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า หนังสือมอบอำนาจของผู้ร้องที่มอบอำนาจให้นางวรนุช เปเรร่า เป็นผู้รับมอบอำนาจในการยื่นคำร้องบังคับผู้คัดค้านตามคำชี้ขาดคดีนี้ เป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเดิมในคดีหมายเลขดำที่ ทป.34/2541 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ผู้คัดค้านจะนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการและผู้ร้องยังไม่ทราบว่าจะต้องนำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาขอบังคับต่อศาล หนังสือมอบอำนาจไม่มีข้อความระบุให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้หรือมีอำนาจดำเนินคดีต่อผู้คัดค้าน หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้บังคับไม่ได้ เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจของผู้ร้องระบุมอบอำนาจให้นางวรนุชยื่นฟ้อง ต่อสู้คดี ดำเนินการไปจนสำเร็จในศาลทั้งปวงแทนผู้รับมอบอำนาจ หาได้ระบุมอบอำนาจให้นางวรนุชฟ้องผู้คัดค้านเป็นการเฉพาะคดีตามคดีหมายเลขดำที่ ทป.34/2541 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแต่ประการใดไม่ นางวรนุชจึงมีอำนาจกระทำการแทนผู้ร้บมอบอำนาจในการยื่นฟ้องและดำเนินคดีในศาลได้ทุกคดีโดยไม่มีกำหนดเวลาจนกว่าผู้มอบอำนาจจะเพิกถอนการมอบอำนาจนั้น การมอบอำนาจดังกล่าวหาใช่เป็นการหลีกเลี่ยงประมวลรัษฎากรที่ใช้หนังสือมอบอำนาจฉบับเดิมมาฟ้องคดีไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนังสือมอบอำนาจและการมอบอำนาจชอบด้วยกฎหมายและใช้บังคับได้ ผู้ร้องจึงมีอำนาจนำคดีสู่ศาล อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่ 2 มีว่า คู่สัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้คัดค้านบกพร่องในเรื่องความสามารถจึงควรปฏิเสธไม่บังคับตามคำชี้ขาดหรือไม่ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า สัญญาการเป็นหุ้นส่วนและสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิทำขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2535 แต่บริษัทผู้คัดค้านก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2536 ผู้คัดค้านจึงไม่อาจทำสัญญาทั้งสองฉบับได้ เมื่อบริษัทผู้คัดค้านก่อตั้งขึ้นแล้วก็ไม่ได้เข้าทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิกับผู้ร้อง ศาลจึงชอบที่จะปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เห็นว่า สัญญาการเป็นหุ้นส่วนเป็นสัญญาระหว่างผู้ร้องกับบุคคลกลุ่มเดไซ ปาเต็ล กำหนดให้คู่สัญญาก่อตั้งบริษัทขึ้นภายใต้กฎหมายไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้สลากว่า EARTHTEC และ PRISTINE BLUE และในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเป็นสัญญาระหว่างผู้ร้องกับบริษัทผู้คัดค้านโดยมีบุคคลกลุ่มเดไซ ปาเต็ล ลงลายมือชื่อในฐานะส่วนตัวและนายอาวิน ซี. เดไซ ลงลายมือชื่อในฐานะประธานบริษัทผู้คัดค้านซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในอนาคต โดยผู้ร้องมีวัตถุประสงค์ในการแต่งตั้งผู้คัดค้านให้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้ใบอนุญาตที่อนุมัติโดยผู้ร้องและภายใต้สลากว่า EARTHTEC และ PRISTINE BLUE สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นสัญญาที่ผู้เริ่มก่อการบริษัทผู้คัดค้านได้กระทำไว้เพื่อก่อตั้งบริษัทผู้คัดค้านเพื่อถือสิทธิตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ เมื่อผู้คัดค้านได้จดทะเบียนเป็นบริษัทตามกฎหมายไทยแล้วก็ได้เข้าถือสิทธิตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิดังกล่าว โดยผลิตและจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของผู้ร้อง และได้อ้างข้อตกลงที่ให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการตามที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิขึ้นต่อสู้คดีในชั้นศาล กับนำเสนอข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านต่ออนุญาโตตุลาการ ดังนี้ถือว่าผู้คัดค้านได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าวผู้คัดค้านจึงต้องผูกพันตามสัญญานั้น กรณีถือว่าผู้คัดค้านเข้าเป็นคู่สัญญาโดยชอบและมิได้บกพร่องในเรื่องความสามารถแต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่ 3 มีว่า องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ชอบ เนื่องจากมิได้เป็นไปตามที่คู่พิพาทได้ตกลงกันไว้ จึงควรปฏิเสธไม่บังคับตามคำชี้ขาดหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ได้กำหนดกรณีมีความเห็นไม่ตรงกันของคู่สัญญาว่าให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกัน ภายใต้มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าด้วย “อนุญาโตตุลาการ” การที่อนุญาโตตุลาการของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกันเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านจึงเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญา ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า หลังจากผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทแล้ว ต่อมาได้ขอถอนเรื่องจากอนุญาโตตุลาการแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ถอนเรื่อง ผู้คัดค้านไม่มีโอกาสแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการที่มีสัญชาติไทย ผู้คัดค้านไม่สามารถเข้าร่วมในการพิจารณาข้อพิพาท เพราะทนายความของผู้คัดค้านถอนตัวโดยไม่แจ้งให้ผู้คัดค้านทราบ ผู้คัดค้านจึงไม่อาจนำพยานหลักฐานเข้าแสดงต่อนุญาโตตุลาการได้ อนุญาโตตุลาการไม่ได้แจ้งให้ผู้คัดค้านแต่งตั้งทนายความคนใหม่แต่กลับด่วนวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททั้งๆ ที่ผู้คัดค้านไม่มีทนายความและผู้คัดค้านไม่สามารถจัดส่งเอกสารให้ตามที่ผู้ร้องร้องขอ อนุญาโตตุลาการจึงยกประโยชน์ให้แก่ผู้ร้องว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นคุณแก่ผู้ร้องนั้น ผู้คัดค้านก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวของผู้คัดค้านมีผลให้องค์ประกอบของอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎข้อบังคับของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวข้อไหนอย่างไร ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าองค์ประกอบของอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการมิได้เป็นไปตามที่คู่พิพาทได้ตกลงกันไว้อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่ 4 มีว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ชอบเนื่องจากเป็นคำชี้ขาดเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ไม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได้ตามกฎหมายหรือไม่ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า อนุญาโตตุลาการแห่งสหรัฐอเมริกาวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของผู้ร้อง เป็นการก้าวล่วงอำนาจของศาลไทย จึงเป็นข้อพิพาทที่ไม่อาจระงับได้โดยวิธีอนุญาโตตุลาการ เห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ผู้คัดค้านอ้างเป็นกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิในเครื่องหมายการค้าระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านว่าใครมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากัน เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการเห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าผู้คัดค้าน ก็ได้มีคำชี้ขาดตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้คัดค้านดำเนินการตามความจำเป็นในการยกเลิกทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทหรือโอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้วแต่ผู้คัดค้านจะเลือก อันเป็นคำชี้ขาดให้คู่สัญญากระทำการตามสัญญาหรืองดเว้นจากการกระทำผิดสัญญาต่อไป กรณีจึงไม่ใช่ข้อพิพาทที่ไม่อาจระงับได้โดยวิธีอนุญาโตตุลาการ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการสุดท้ายมีว่า การบังคับตามคำชี้ขาดเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า อนุญาโตตุลาการอเมริกันกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมจำนวน 166,452.30 ดอลลาร์สหรัฐ และให้ผู้คัดค้านจ่ายค่าธรรมเนียมในการบริการจัดการของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกันด้วย จึงเป็นจำนวนที่สูงเกินสมควรศาลไทยชอบที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร เห็นว่า ข้อบังคับอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกันได้กำหนดเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไว้ เมื่อผู้คัดค้านเป็นฝ่ายนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ผู้คัดค้านจึงต้องตระหนักและผูกพันตามข้อบังคับอนุญาโตตุลาการดังกล่าวอันเป็นข้อบังคับที่ใช้แก่คู่สัญญาทั่วไปที่เข้าสู่กระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกันโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อประเทศหรือสัญชาติของคู่สัญญา ผู้คัดค้านไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ผู้คัดค้านต้องชำระตามที่คณะอนุญาโตตุลาการของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกันกำหนดขัดต่อข้อบังคับอนุญาโตตุลาการดังกล่าวอย่างไรผู้คัดค้านจึงต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามที่คณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวกำหนด การบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการอันเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการหาเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใดไม่ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างในอุทธรณ์ว่า คณะอนุญาโตตุลาการมิได้ส่งคำวินิจฉัยชี้ขาดให้แก่ผู้คัดค้านนั้น เห็นว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำคัดค้านเรื่องดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจาณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 38 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน