คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2613/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3ก็วินิจฉัยให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมิได้วินิจฉัยในเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยให้การและอุทธรณ์ขัดแย้งกัน โดยในตอนแรกให้การและอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลย ส่วนในตอนหลังให้การและอุทธรณ์ว่าหากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองมา 1 ปี แล้วคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความ คำให้การและอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำให้การและอุทธรณ์ที่เคลือบคลุมนั้น ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2529 จำเลยได้ปักรั้วบุกรุกเข้ามาในที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันตก โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนรั้วดังกล่าวแล้ว จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยกับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนรั้วให้โจทก์มีอำนาจจัดการรื้อถอนโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตาม ส.ค.1 จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อจากบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินจำเลยทำรั้วล้อมที่ดินมานานกว่า 10 ปี แล้ว และใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ก่อนถูฟ้องจำเลยทำรั้วใหม่แทนรั้วเก่าที่ผุพังแต่มิได้ทำในที่ดินของโจทก์ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ได้มาโดยไม่สุจริต และออกทับที่ดินของจำเลยหากที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของโจทก์จำเลยก็ครอบครองมาเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่เคยให้ผู้ใดเช่าที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทนับตั้งแต่ระยะ10 วา จากมุมที่ดินด้านทิศเหนือต่อกับทิศตะวันตกขนานไปทางทิศตะวันออกจนสุดเขตที่ดินพิพาทและจากแนวเขตดังกล่าวไปจนสุดด้านทิศใต้เป็นที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วตามแนวเขตที่ดินดังกล่าวออกไปทั้งหมด หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินบริเวณดังกล่าวและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ (ที่ถูกน่าจะเป็นพิพากษาแก้)ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยโดยกำหนดเป็นค่าทนายความรวม 1,400 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานฟังได้ว่า จำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดที่ดินมาเป็นเวลากว่า 1 ปี แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวาร ให้รื้อรั้วออกไปและห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยให้การและอุทธรณ์ขัดแย้งกันโดยในตอนแรกให้การและอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลยส่วนในตอนหลังให้การและอุทธรณ์ว่า หากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองมา 1 ปี แล้ว คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความคำให้การและอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคำให้การและอุทธรณ์ที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่และในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็วินิจฉัยให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยฟังว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย มิได้วินิจฉัยในเรื่องจำเลยแย่งการครอบครอง เพราะฉะนั้นข้อฎีกาของโจทก์ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share