คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ปุ๋ยเคมีของโจทก์อยู่ที่คลังสินค้า มีผู้ปลอมใบอินวอยซ์ของโจทก์ขายใบอินวอยซ์ให้จำเลยรับปุ๋ยไปจากคลังสินค้าโดยจำเลยสุจริตศาลในคดีอาญาพิพากษายกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักและใช้ใบอินวอยซ์ปลอม คำพิพากษาในคดีอาญานี้ศาลต้องฟังตามในคดีแพ่งผลในคดีแพ่งคือจำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ มิใช่ฟังกลับข้อเท็จจริงที่รับฟังมาในคดีอาญาได้ จำเลยซื้อใบอินวอยซ์เท่ากับซื้อปุ๋ยในท้องตลาด โจทก์เรียกปุ๋ยคืนไม่ได้ เว้นแต่ใช้ราคาที่จำเลยซื้อมา

ย่อยาว

ปุ๋ยเคมีของโจทก์ฝากไว้ที่บริษัทสยามไซโลและอบพืช จำเลยซื้อใบอินวอยซ์จากผู้ที่จำเลยอ้างว่าชื่อนายสุวัช พ่อค้าปุ๋ยในท้องตลาด (ไม่ปรากฏว่าซื้อขายกันที่ไหนอย่างไร) จำเลยนำใบอินวอยซ์ไปรับปุ๋ยจากบริษัทสยามไซโลฯ ไปไว้ที่คลังสินค้าบริษัท เอส.อาร์. อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด และย้ายไปแล้วส่วนหนึ่งโจทก์อายัดปุ๋ยไว้ที่บริษัท เอส.อาร์. และฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีอาญาว่าลักหรือรับของโจร ใบอินวอยซ์ของโจทก์ปลอมกรอกข้อความนำไปใช้รับปุ๋ย ศาลยกฟ้องคดีถึงที่สุด จำเลยวางเงินแทนเป็นค่าปุ๋ยที่โจทก์อายัด ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และคืนเงินค่าปุ๋ยที่วางไว้แก่จำเลย โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในประเด็นข้อแรกที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 2 นำใบอินวอยซ์ปลอมไปใช้รับเอาปุ๋ยของโจทก์มาเป็นประโยชน์ตนนั้นทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดฐานละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีมุ่งเอาเรื่องความรับผิดในทางอาญามาปนกับความรับผิดในทางแพ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดในทางอาญาก็ตาม แต่ศาลจะต้องพิจารณาในส่วนแพ่งว่าจำเลยจะต้องรับผิดหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 นั้น พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มูลละเมิดที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาหาว่าร่วมกันลักทรัพย์รับของโจรปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ฉ้อโกง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5698/2516 ของศาลอาญา ศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องทุกข้อหา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอม จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้ โดยฟังว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม เห็นว่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันลักใบอินวอยซ์หรือรับของโจรปลอมและใช้ใบอินวอยซ์ปลอม โดยนำไปอ้างขอรับปุ๋ยจากเจ้าหน้าที่คลังสินค้าของโจทก์ จึงเป็นคำฟ้องที่ตั้งมูลฐานละเมิด อันเป็นมูลคดีเรื่องเดียวกันกับคดีอาญาดังกล่าว ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2377/2518 ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ที่โจทก์ฎีกาว่าแม้ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้กระทำผิดในทางอาญาก็ตาม ก็จะต้องพิจารณาคดีในส่วนแพ่งว่าจำเลยจะต้องรับผิดหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่ามูลละเมิดในคดีนี้เกิดจากมูลคดีเรื่องเดียวกันกับคดีอาญาที่จำเลยทั้ง 2 ถูกฟ้องฉะนั้นศาลจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาความในมาตรา 47 ที่โจทก์อ้างไม่ได้หมายความถึงว่าจะไปกลับข้อเท็จจริงที่จำต้องรับฟังตามมาตรา 46 ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 772/2503 ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาฯ โจทก์ นายบุญช่วย บุนนาค กับพวก จำเลย

ที่โจทก์อ้างว่า ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงชัดเจนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5698/2516 ว่าจำเลยที่ 2 นำเอาใบอินวอยซ์ซึ่งเป็นเอกสารปลอมไปใช้รับเอาปุ๋ยมาจากคลังสินค้าของโจทก์จริง จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดฐานะละเมิดสิทธิต่อโจทก์นั้น ข้อนี้ฎีกาของโจทก์มิได้ยกข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาขึ้นกล่าวอ้างให้ครบถ้วนกระบวนความคงตัดตอนยกขึ้นกล่าวอ้างแต่เพียงบางส่วน ซึ่งความจริงศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและเหตุผลต่อไป โดยละเอียดว่าผู้ทุจริตรายนี้เป็นพนักงานของโจทก์ลักเอาแบบพิมพ์ของโจทก์มากรอกข้อความเท็จและปลอมลายมือชื่อพนักงานของโจทก์ จึงปลอมแปลงได้แนบเนียม แม้เจ้าหน้าที่ในบริษัทโจทก์เอง เช่นนายวิโรจน์ นายลือศักดิ์ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของปลอมเมื่อซื้อใบอินวอยซ์ไว้แล้วจำเลยที่ 2 ก็ได้ไปขอรับสินค้าจากโจทก์โดยเปิดเผยสินค้าที่รับมาแล้วก็ไม่ได้จำหน่ายถ่ายเทต่อไป แต่นำไปเก็บรวมกันไว้ในคลังสินค้ามีผู้รู้เห็น ทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 เองก็หาทราบไม่ว่าใบอินวอยซ์เหล่านี้เป็นใบอินวอยซ์ปลอม จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดต่อโจทก์

ประเด็นข้อสองเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในปุ๋ย ซึ่งโจทก์อ้างว่าใบอินวอยซ์มีลักษณะเป็นสัญญา เป็นเอกสารสิทธิแยกกันได้กับสินค้าปุ๋ยการที่จำเลยที่ 2ซื้อใบอินวอยซ์มาจากท้องตลาด จำเลยที่ 2 ก็จะได้สิทธิไปเฉพาะใบอินวอยซ์จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ในปุ๋ยด้วยหาได้ไม่ชอบที่จะคืนปุ๋ยให้โจทก์นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5698/2516 ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เป็นพ่อค้าปุ๋ยมีร้านค้าอยู่ที่อำเภอดำเนินสะดวกจังหวัดราชบุรี การซื้อขายปุ๋ยในท้องตลาดซื้อขายใบอินวอยซ์กัน ลูกค้าที่สั่งซื้อปุ๋ยจนได้ใบอินวอยซ์มาแล้วบางทีก็ไม่รับปุ๋ยกลับขายใบอินวอยซ์ให้ผู้อื่นไป เพื่อเอาเงินสดมาหมุนเวียนใช้จ่าย และฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ซื้อใบอินวอยซ์จากนายสุวัชจริง เพราะมีสัญญาซื้อขายและใบเสร็จรับเงิน กับมีนายเตียงเจ้าของร้านปุ๋ยสหายเกษตรกร และนายสงวนเจ้าของร้านปุ๋ยศรีโพธิพานิช เป็นพยานยืนยันว่ามีการซื้อขายใบอินวอยซ์กัน โดยนายสงวนได้ลงนามเป็นพยานในสัญญาซื้อขายด้วย และน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ซื้อโดยไม่ทราบว่าใบอินวอยซ์เหล่านั้นเป็นเอกสารปลอม เห็นได้ว่าการสั่งซื้อปุ๋ยจำนวนมากในท้องตลาดมิใช่ได้ปุ๋ยในทันที จะต้องนำใบอินวอยซ์ไปรับปุ๋ยจากคลังสินค้าอีกต่อหนึ่ง การซื้อใบอินวอยซ์ก็คือมุ่งหมายซื้อปุ๋ยโดยตรง หาใช่ประสงค์จะซื้อแต่ใบอินวอยซ์ไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ซื้อใบอินวอยซ์สำหรับไปรับปุ๋ยจากคลังสินค้าในท้องตลาดโดยสุจริต ฉะนั้นจำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องคืนปุ๋ยที่รับมาให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอันแท้จริง เว้นแต่โจทก์จะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ส่วนที่จำเลยที่ 2แก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในเรื่องกรรมสิทธิ์ของปุ๋ยเพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ หากไม่ใช่ก็ให้จำเลยทั้งสองคืนปุ๋ยจำนวน 11,000 กระสอบ ดังนี้จึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้องดังข้อแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2

ประเด็นข้อสุดท้ายที่โจทก์ฎีกาว่าศาลฎีกามิได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีอาญาให้ชัดแจ้งลงไปว่า จำเลยที่ 2 ซื้อใบอินวอยซ์จากท้องตลาดโดยสุจริตหรือไม่ด้วยเหตุนี้ศาลจึงยังไม่ควรงดสืบพยานโจทก์ ควรดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่าการที่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ซื้อใบอินวอยซ์เหล่านั้นไว้โดยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารปลอมย่อมเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2ซื้อไว้โดยสุจริตอยู่แล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ฉะนั้นจึงไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานอย่างใดต่อไปอีก”

พิพากษายืน

Share