คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2823/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก วันที่ 12 มิถุนายน 2530 ถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างเหตุทนายจำเลยป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีไปในวันที่ 29 กรกฎาคม 2530 ซึ่งจำเลยก็นำพยานมาสืบปากเดียวและเลื่อนไปสืบพยานจำเลยวันที่ 3 และ 24 กันยายน 2530วันดังกล่าวจำเลยนำพยานมาสืบวันละหนึ่งปาก และศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยวันที่ 5 และ 19 พฤศจิกายน 2530 วันที่ 5 พฤศจิกายน2530 จำเลยมีพยานมาสืบ 1 ปาก และเลื่อนไปสืบพยานวันที่ 19 พฤศจิกายน2530 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนโดยกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จโดยไม่ให้เลื่อนคดีอีกถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนอ้างเหตุพยานป่วยเช่นนี้พฤติการณ์จำเลยแสดงว่ามีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2529 โจทก์ตกลงทำสัญญาเช่าอาคารจำเลยตกลงโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ ซึ่งผู้ให้เช่ายินยอมด้วยแล้วผู้ให้เช่าจึงตกลงทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยตกลงจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมด้วยบริวารออกจากอาคารและส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์ในวันที่โจทก์ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่า แต่หลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าแล้ว จำเลยไม่ได้ส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์และผัดผ่อนเพิกเฉยตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งส่งมอบอาคารตึกแถวเลขที่ 195 ถนนจักรวรรดิแขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยและให้จำเลยและบริวารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบอาคารตึกแถวให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย
จำเลยให้การในหลายประเด็นและฟ้องแย้ง โดยขอให้ยกฟ้องของโจทก์และบังคับให้โจทก์ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน625,250 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน610,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งของจำเลยเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลย ให้โจทก์คืนเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวรจักร จำนวน 8 ฉบับ ตามฟ้องแย้งแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบอาคารเลขที่ 195 ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานครให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ให้จำเลยและบริวารใช้ค่าเสียหาย 40,000 บาทและชดใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาทนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบอาคารให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไปสืบพยานปากนายวิธาน จิระกันศักดิ์เจริญสามีจำเลย และมีคำสั่งให้งดสืบพยานปากนี้ ทั้ง ๆ ที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้นแล้วว่านายวิธานป่วยเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง ไม่สามารถมาเป็นพยานศาลได้ ขอให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบนายวิธานนั้น ในปัญหานี้ปรากฏว่าหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกในวันที่ 12มิถุนายน 2530 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายจำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 29 กรกฎาคม 2530 ซึ่งจำเลยก็นำพยานมาสืบเพียงปากเดียวศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 3 และ 24 กันยายน 2530ในวันดังกล่าวจำเลยนำพยานมาสืบเพียงวันละหนึ่งปาก ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 5 และ 19 พฤศจิกายน 2530 จำเลยมีพยานมาสืบในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2530 เพียงปากเดียวแล้วขอเลื่อนไปสืบพยานที่เหลืออีกเพียงปากเดียว ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จในวันดังกล่าวโดยไม่ขอเลื่อนอีกแต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยก็ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่านายวิธานป่วยกะทันหันเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรงไม่สามารถมาศาลได้โดยมิได้ส่งใบรับรองแพทย์ต่อศาลแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นเห็นว่าได้กำชับแล้วจะไม่ให้จำเลยเลื่อนคดีอีก พยานปากนี้เป็นสามีจำเลย หากจำเลยตั้งใจจะสืบจริงจังก็ควรจะนำมาสืบได้ในคราวก่อน ๆ จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานปากนายวิธาน ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ในการดำเนินคดีดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวนั้น จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share