คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงแต่พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดเบิกความแสดงว่าเห็นเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นข้อสารสำคัญนอกจากนี้จำเลยยังหลงข้อต่อสู้ด้วย ต้องยกฟ้อง
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษและบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยได้ร่วมกันลักเครื่องขยายเสียง 1 เครื่อง และอุปกรณ์ของนายแจ่ม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 335 จำคุกคนละ 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า นายยูรพยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดเบิกความว่า เห็นจำเลยแบกหีบกระดาษห่างบ้านผู้เสียหาย 1 เส้นเศษในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ เป็นเวลาก่อนเที่ยง หาใช่เห็นในคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงดังโจทก์กล่าวหาในฟ้องไม่ ฉะนั้น เมื่อฟังว่านายยูรเห็นเหตุการณ์ในคืนวันที่ 17 ซึ่งแสดงว่าเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันนั้นแล้วก็ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ข้อเท็จจริงในเรื่องผิดวันเป็นข้อสารสำคัญในคดีอาญา และจำเลยต่างนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ตามวันที่โจทก์กล่าวหาในฟ้อง นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่าทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2ให้ศาลยกฟ้อง

ส่วนคำเบิกความนายอ๊าด นายดอกไม้พยานโจทก์ที่ว่าจำเลยทั้งสามเอาเครื่องขยายเสียงและแผ่นเสียงไปขายในภายหลังแม้จะเป็นความจริงจำเลยก็จะผิดฐานรับของโจร ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษและบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้

พิพากษายืน

Share