คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2068/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในระหว่างที่คดีแพ่งของโจทก์อยู่ระหว่างพิจารณา โจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีแพ่งได้อีกตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 (3) และมาตรา 25 การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งด้วยตนเองจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งโฉนดที่ดินและสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 13764, 13822, 14245, 7844 และเลขที่ 116732 รวม 5 โฉนด ซึ่งโจทก์มอบให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันคืนแก่โจทก์ และพิพากษาว่าสัญญารับสภาพหนี้ ประนีประนอมยอมความ และค้ำประกัน ฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 ตกเป็นโมฆะ จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ จำเลยยังมิได้รับชำระหนี้ จึงไม่ต้องคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ต่อมาในระหว่างพิจารณา โจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 436/2545 ซึ่งจำเลยในคดีนี้เป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยในมูลกรณีเดียวกัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีนี้แทนโจทก์และยื่นคำร้องลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 ขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี เนื่องจากจำเลยได้ส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องรวม 5 ฉบับ ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ไม่เป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดและจำเลยได้ส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องให้แก่พนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ทำให้คำขอท้ายฟ้องโจทก์ไม่มีสภาพบังคับจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และไม่คืนค่าขึ้นศาลให้
โจทก์ยื่นคำร้องว่า คำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลมีคำสั่งคลาดเคลื่อน ขอให้มีคำสั่งยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเพิกถอนกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าว แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตามกฎหมายต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งและเพิกถอนกระบวนพิจารณา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ภายหลังที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 436/2545 ซึ่งจำเลยในคดีนี้เป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลย คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 (3) บัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ และมาตรา 25 บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาคดีนี้โจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีนี้ได้อีก การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นด้วยตนเองจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share