คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางคืน แต่เมื่อได้ความว่าคนร้ายยืนห่างจากประจักษ์พยานโจทก์เพียง 6 เมตร และคนร้ายเป็นผู้ที่ประจักษ์พยานรู้จักมาก่อน บริเวณที่คนร้ายยืนอยู่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่หน้าร้าน และจากโป๊ะจอดเรือส่องถึงพอที่จะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจน และจำได้ว่าเป็นจำเลย ทั้งพยานโจทก์ปากนี้ก็ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่าได้เบิกความไปตามความจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า พยานโจทก์เป็นคนหลังค่อม เมื่อยืนหลังตู้เย็นย่อมไม่สามารถมองเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนนั้น ความพิการดังกล่าว ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคในการมองเห็นเหตุการณ์ และที่โจทก์ไม่นำ บ.ลูกจ้างผู้เสียหายอีกคนหนึ่งที่นอนอยู่กับพยานมาเบิกความ ก็เป็นเรื่องดุลยพินิจของโจทก์ที่จะนำสืบพยานของตนมากน้อยเพียงใดไม่ถือเป็นข้อพิรุธ ทั้งที่อ้างว่าการจุดไฟที่ถุงพลาสติกเปลวไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็ว คนร้ายย่อมไม่มีเวลาพอที่จะโยนถุงเข้าไปในร้านผู้เสียหายนั้น ก็เป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น ดังนั้น แม้โจทก์จะมีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่พยานดังกล่าวก็เบิกความมีเหตุผลน่าเชื่อถือ ศาลรับฟังประกอบพยานอื่นลงโทษจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยวางเพลิงเผาโรงเรือนของนายอนันต์ ผู้เสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217, 218 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 5
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 218 ประกอบด้วยมาตรา 217 ให้จำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุได้มีคนร้ายใช้ถุงพลาสติกติดไฟโยนเข้าไปในบ้านอันเป็นร้านค้าและโรงเรือนอยู่อาศัยของผู้เสียหายซึ่งตั้งอยู่ริมคลองสรรพสามิต หมู่ที่ 4 ตำบลคลองสานกิ่งอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้พื้นไม้กระดาน และทำให้ทรัพย์สินอื่นเสียหาย มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนายจันทร์ ฉาบไธสง เป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าเมื่อรู้สึกตัวตื่นได้ยินเสียงกรอกแกรกดังด้านหน้าร้านขายน้ำมันได้ไปยืนด้านหลังตู้เย็นมองผ่านประตูลูกกรงเหล็กยืดเห็นจำเลยซึ่งเคยรู้จักกันมานาน เพราะเคยไปซื้อของที่ร้านผู้เสียหายยืนอยู่หน้าประตูลูกกรงเหล็กยืดซึ่งมีแสงสว่างจากไฟฟ้าหลอดนีออนขนาด 40 แรงเทียนจำนวน 2 หลอด ที่เปิดไว้หน้าร้านและที่โป๊ะจอดเรือหน้าร้านโดยนายจันทร์อยู่ในระยะห่างจากประตูลูกกรงเหล็กยืดประมาณ 6 เมตรเท่านั้น เมื่อจำเลยโยนถุงพลาสติกที่ติดไฟเข้ามาในร้านและเกิดไฟลุกไหม้ นายจันทร์ก็ได้ร้องให้คนช่วย และโจทก์มีนางปราณีพุกพิบูลย์ ภริยาผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าในคืนเกิดเหตุเมื่อดับไฟแล้วได้สอบถามนายจันทร์ก็บอกว่าเห็นคนร้ายคือจำเลยนอกจากนี้โจทก์มีนายอนันต์ พุกพิบูลย์ ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อกลับจากไปนอนค้างที่บ่อเลี้ยงกุ้งมาถึงร้านเวลา 7 นาฬิกานายจันทร์ได้บอกให้ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทวีระพล มีไร่ พนักงานสอบสวนโดยระบุว่าจำเลยเป็นคนร้าย และข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อจับจำเลยได้ พนักงานสอบสวนได้จัดให้มีการชี้ตัวคนร้าย นายจันทร์ก็ชี้จำเลยได้ถูกต้องเห็นว่า ขณะเกิดเหตุแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ก็ได้ความว่าจำเลยเป็นคนที่นายจันทร์รู้จักมาก่อน บริเวณที่คนร้ายยืนอยู่ตรงหน้าประตูลูกกรงเหล็กยืดมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่หน้าร้าน และที่โป๊ะจอดเรือหน้าร้านส่องถึงและสว่างพอที่นายจันทร์พยานโจทก์สามารถเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจน และจำได้ว่าเป็นจำเลย เพราะเป็นคนที่พยานเคยรู้จักมาก่อนและขณะนั้นพยานก็ยืนอยู่ห่างจากประตูลูกกรงเหล็กยืดเพียง 6 เมตร อยู่ในวิสัยที่จะมองเห็นผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูลูกกรงเหล็กยืดนั้นได้ พยานโจทก์ปากนี้ก็ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนแต่อย่างใด จึงไม่มีข้อระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อว่าได้เบิกความไปตามความเป็นจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าวันเกิดเหตุตอนเย็นไปรับจ้างจับกุ้งและคัดเลือกกุ้งของนายแฉล้มศรีประจันทร์ และได้ซื้อสุราไปดื่มกับนายแฉล้มก่อนจะเปิดนาจับกุ้งทำอยู่ทั้งคืนเสร็จเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีนายแฉล้มเป็นพยานเบิกความว่าได้จ้างจำเลยไปช่วยจับกุ้งและคัดเลือกกุ้งรวม 3 คืนนั้น ปรากฏว่า เหตุคดีนี้เกิดเวลา 2 นาฬิกา อันเป็นเวลาก่อนจำเลยจะไปรับจ้างเลือกกุ้งของนายแฉล้ม พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อ ที่จำเลยอ้างว่านายจันทร์เป็นคนพิการหลังค่อมถ้ายืนหลังตู้เย็นจะไม่สามารถมองเห็นหน้าจำเลยได้ชัดเจน และโจทก์ไม่นำนายบี้ลูกจ้างผู้เสียหายอีกคนหนึ่งที่นอนอยู่กับนายจันทร์มาเบิกความซึ่งเป็นการผิดวิสัยที่นายจันทร์จะตื่นขึ้นมาเพียงคนเดียวในเวลา 2 นาฬิกา การที่จุดไฟที่ถุงพลาสติกไม่น่าเชื่อจะเป็นไปได้เพราะเมื่อมีเปลวไฟย่อมลุกลามอย่างรวดเร็วไม่มีเวลาพอที่จะโยนถุงเข้าไปในร้านผู้เสียหายทั้งคดีนี้โจทก์มีนายจันทร์เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่คำเบิกความของนายจันทร์มีพิรุธเพราะแตกต่างกับคำเบิกความของผู้เสียหายในเรื่องที่ว่านายจันทร์ที่มาอยู่กับผู้เสียหายตั้งแต่เมื่อใด กรณีจึงเป็นที่น่าสงสัยควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย นั้น เห็นว่า ความพิการของนายจันทร์ดังกล่าวนั้นไม่ถึงกับจะเป็นอุปสรรคในการมองเห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด การที่โจทก์ไม่นำนายบี้มาเป็นพยานก็เป็นเรื่องดุลพินิจของโจทก์ที่จะนำสืบพยานของตนมากน้อยเพียงไร ไม่ถือว่าเป็นข้อพิรุธที่จำเลยอ้างว่าการจุดไฟที่ถุงพลาสติก เปลวไฟจะลุกลามรวดเร็วไม่มีเวลาพอที่จะโยนเข้าร้านทันนั้นก็เป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น ส่วนที่จำเลยโต้แย้งอีกว่าคดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวทั้งยังเบิกความแตกต่างกับผู้เสียหายกรณีจึงเป็นที่น่าสงสัยควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะมีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่พยานดังกล่าวก็เบิกความมีเหตุผลน่าเชื่อ ข้อที่เบิกความแตกต่างกันก็เป็นเพียงพลความศาลรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นมาลงโทษจำเลยได้ สรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน มีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share