คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5566/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับ ว. นั้น ว. ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องที่ 1 แล้ว และยังเป็นคู่สมรสกับผู้ร้องที่ 1 อยู่ตลอดมาจน ว. ถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับ ว. จึงเป็นการฝ่าฝืน ป.พ.พ. มาตรา 1445 (3) (เดิม) และตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1490 (เดิม) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับ ว. แม้ภายหลัง ว. ได้ถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับ ว. สิ้นสุดลงก็ตาม แต่เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับ ว. ยังเป็นโมฆะอยู่เช่นนี้ ย่อมมีผลกระทบถึงสิทธิในครอบครัวและสิทธิในมรดก ผู้ร้องทั้งสามซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับ ว. เป็นโมฆะได้

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างนายวิจิตรกับผู้คัดค้านเป็นโมฆะและขอให้แจ้งผลของคำพิพากษาไปยังนายทะเบียน
ศาลประกาศนัดไต่สวนและส่งสำเนาคำร้องขอให้กับผู้คัดค้านแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การสมรสระหว่างนายวิจิตร แจ่มใส กับนางชบา แจ่มใส ผู้คัดค้าน ซึ่งจดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียนอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2512 เลขทะเบียนที่ 390/2849 เป็นโมฆะ แจ้งให้นายทะเบียนอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะในทะเบียนการสมรสเมื่อคำสั่งถึงที่สุด
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา นางดวงสมรหรือสมร แจ่มใส ผู้ร้องที่ 1 ถึงแก่กรรม พันตรีสุษฎา แจ่มใส ผู้ร้องที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้ร้องที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับนายวิจิตร แจ่มใส เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2506 มีบุตรด้วยกันรวม 2 คน คือ ผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2511 ผู้ร้องที่ 1 จดทะเบียนหย่ากับนายวิจิตร ครั้นต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2511 ผู้ร้องที่ 1 กับนายวิจิตรจึงได้จดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นวันที่ 21 พฤศจิกายน 2512 นายวิจิตรจดทะเบียนสมรสกับผู้คัดค้าน และอยู่กินด้วยกันจนกระทั่งมีบุตรด้วยกันรวม 3 คน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตร แจ่มใส เป็นโมฆะหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับนายวิจิตรนั้น นายวิจิตรได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องที่ 1 แล้ว และยังเป็นคู่สมรสกับผู้ร้องที่ 1 อยู่ตลอดมาจนนายวิจิตรถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตรจึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445 (3) (เดิม) และตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1490 (เดิม) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับนายวิจิตร ผู้คัดค้านจะอ้างว่าผู้คัดค้านได้จดทะเบียนสมรสกับนายวิจิตรโดยสุจริต การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตรจึงไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่ แม้ภายหลังจากที่นายวิจิตรได้จดทะเบียนสมรสกับผู้คัดค้านแล้ว นายวิจิตรได้ถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตรสิ้นสุดลงก็ตาม แต่เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตรยังเป็นโมฆะอยู่เช่นนี้ ย่อมมีผลกระทบถึงสิทธิในครอบครัวและสิทธิในมรดก ผู้ร้องทั้งสามซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตรเป็นโมฆะได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าการสมรสระหว่างผู้คัดค้านกับนายวิจิตรเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share