คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5561/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางและขอให้เพิ่มโทษจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ แต่มิได้ให้การรับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษ อีกทั้งโจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาก่อน และได้กระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ ถือว่าโจทก์มิได้นำสืบแสดงพยานหลักฐานในข้อที่ขอให้เพิ่มโทษจำเลย จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบของกลางและเพิ่มโทษตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 รวมจำคุก 6 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่… เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ร้อยตำรวจเอกสง่าจอดรถซุ่มดูเหตุการณ์ห่างจากจุดล่อซื้อประมาณ 30 เมตร อีกทั้งสภาพซอยบางทราย 22 เป็นซอยตรง ไม่มีสิ่งใดปิดบังการมองเห็น ปรากฏตามภาพถ่าย ร้อยตำรวจเอกสง่าย่อมมีโอกาสมองเห็นและจดจำจำเลยได้ หลังเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกสง่าติดตามจับกุมจำเลยได้ทันทีทันใด ก่อนจับกุมจำเลยได้มีการนำธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อไปถ่ายสำเนาและลงบันทึกในรายงานประจำวันธุรการไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งในรายงานประจำวันธุรการดังกล่าวระบุว่าร้อยตำรวจเอกสง่าจะนำธนบัตรที่มาลงบันทึกในรายงานประจำวันธุรการไว้ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ซอยบางทราย 22 อันเป็นสถานที่เกิดเหตุในคดีนี้ แสดงให้เห็นว่าร้อยตำรวจเอกสง่าได้เตรียมการวางแผนล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยตามที่สายลับแจ้ง สอดคล้องกับคำเบิกความของร้อยตำรวจสง่า ทำให้คำพยานโจทก์ปากนี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือไม่มีข้อพิรุธน่าสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ในทำนองว่า จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งจับกุมนั้นคงมีตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ เพียงปากเดียว ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และไม่มีเหตุผลที่ร้อยตำรวจเอกสง่าจะกลั่นแกล้งจับกุมจำเลยทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจริงตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางและขอให้เพิ่มโทษจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ แต่มิได้ให้การรับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษ อีกทั้งโจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษมาก่อนและได้กระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ ถือว่าโจทก์มิได้นำสืบแสดงพยานหลักฐานในข้อที่ขอให้เพิ่มโทษจำเลยจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี ให้ยกคำขอโจทก์ที่ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ริบของกลาง

Share