แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามใบรับเงินชั่วคราวของจำเลยที่มอบให้แก่ผู้ทำคำขอเอาประกันชีวิตมีข้อความระบุว่า “บริษัทจะพิจารณาออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้ขอเอาประกันภัยภายใน 30 วัน (สามสิบวัน)นับแต่วันถัดจากวันที่สำนักงานของบริษัทได้รับใบคำขอเอาประกันภัยและได้รับเงินแล้ว หากบริษัทมิได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ภายในเวลาที่กำหนดหรือปฏิเสธการขอเอาประกันภัยหรือแจ้งเหตุขัดข้องในการรับประกันภัย ให้ถือว่าบริษัทตกลงยอมรับสัญญาประกันภัย”ดังนี้ แสดงว่าการแจ้งเหตุขัดข้องเป็นการแสดงเจตนาอย่างหนึ่งเมื่อจำเลยอยู่กรุงเทพมหานคร ส่วน ต. อยู่จังหวัดเชียงใหม่กรณีจึงเป็นการแสดงเจตนาทำให้แก่ผู้อยู่ห่างโดยระยะทาง ย่อมมีผลนับแต่เวลาที่ไปถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นต้นไป ตามป.พ.พ. มาตรา 130 ดังนั้น เมื่อจำเลยมีหนังสือแจ้งเหตุขัดข้องในการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ ต. ส่งทางไปรษณีย์ไปถึงต. เกินกว่ากำหนด 30 วัน นับแต่วันถัดจากวันที่จำเลยได้รับใบคำขอเอาประกันชีวิต จึงต้องถือว่าจำเลยตกลงยอมรับสัญญาประกันชีวิตแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 361 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติให้สัญญาเกิดขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้น จะแปลบทบัญญัติไปในนัยกลับกันว่า สัญญาไม่เกิดขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้นหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันชีวิตให้จำเลยชำระเงิน 105,550 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 100,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้แจ้งเหตุขัดข้องในการรับประกันชีวิตรายนี้ให้นางตาลทราบ สัญญาประกันชีวิตรายนี้ยังไม่เกิดขึ้นจำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้พิพากษายกฟ้อง
หลังจากจำเลยยื่นคำให้การแล้ว นายอนพ ถ้วยลายและนางอัมพรรณพูนทองอินทร์ ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จึงขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับโจทก์ในคดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 105,550 บาท แก่โจทก์และโจทก์ร่วม คนละส่วนเท่า ๆ กัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงื่อนไขสำหรับผู้สมัครขอทำประกันชีวิตที่อยู่ด้านหลังใบรับเงินชั่วคราวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3ข้อ 7 มีข้อความดังนี้ “กรณีจะเป็นเช่นใดก็ตามการชำระเงินตามใบรับเงินชั่วคราวฉบับนี้พร้อมใบคำขอเอาประกันภัยของท่าน บริษัทจะพิจารณาออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้ขอเอาประกันภัยภายใน 30 วัน(สามสิบวัน) นับแต่วันถัดจากวันที่สำนักงานของบริษัทได้รับใบคำขอเอาประกันภัยและได้รับเงินแล้ว หากบริษัทมิได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ภายในเวลาที่กำหนดหรือปฏิเสธการขอเอาประกันภัยหรือแจ้งเหตุขัดข้องในการรับประกันภัย ให้ถือว่าบริษัทตกลงยอมรับสัญญาประกันภัยซึ่งบริษัทใช้อยู่ในกิจการหลังสุดตามคำขอเอาประกันภัย โดยให้เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันสิ้นระยะเวลา 30 วัน (สามสิบวัน) ดังกล่าวข้างต้นหรือก่อนนี้หากเป็นไปตามข้อ 1” เฉพาะปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคำว่า แจ้งเหตุขัดข้องในการรับประกันภัยหมายความว่าอย่างไรพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 คำว่า “แจ้ง” ที่เป็นภริยาหมายถึง แสดงให้รู้, บอกให้รู้, แจ้งความประสงค์ จึงเห็นได้ว่าการแจ้งเหตุขัดข้องเป็นการแสดงเจตนาอย่างหนึ่งนั่นเองเมื่อจำเลยอยู่กรุงเทพมหานคร ส่วนนางตาลอยู่จังหวัดเชียงใหม่ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 130 ที่บัญญัติว่าการแสดงเจตนาทำให้แก่บุคคลผู้อยู่ห่างโดยระยะทาง ย่อมมีผลนับแต่เวลาที่ไปถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นต้นไป จำเลยได้รับเงินเบี้ยประกันภัยและคำขอเอาประกันชีวิตของนางตาลวันที่ 19กรกฎาคม 2528 แต่จำเลยมีหนังสือแจ้งเหตุขัดข้องในการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่นางตาล ส่งทางไปรษณีย์ไปถึงนางตาลวันที่ 26สิงหาคม 2528 เกินกำหนด 30 วัน นับแต่วันถัดจากวันที่จำเลยได้รับใบคำขอเอาประกันชีวิตและได้รับเงินเบี้ยประกันภัยแล้วต้องถือว่าจำเลยตกลงยอมรับสัญญาประกันภัย ส่วนมาตรา 361 วรรคสองเป็นบทบัญญัติให้สัญญาเกิดขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้นหาอาจแปลบทบัญญัติไปในนัยกลับกันว่า สัญญาไม่เกิดขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้นดังที่จำเลยฎีกาไม่ ทั้งตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึง กรณีตามเจตนาอันผู้เสนอได้แสดงหรือตามปกติประเพณีไม่จำเป็นจะต้องมีคำบอกกล่าวสนองด้วย หาใช่เป็นกรณีที่มีข้อความตกลงของฝ่ายผู้สนองดังเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ไม่ดังนั้นประเด็นข้อพิพาทจึงเป็นว่า หนังสือแจ้งเหตุขัดข้องตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ไปถึงนางตาลเมื่อใด หาใช่ส่งไปเมื่อใดดังที่จำเลยฎีกาและหาใช่นางตาลได้รับเมื่อใดดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ไม่
พิพากษายืน.