คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการของโจทก์ร่วมได้นำปลายข้าวหักจำนวน 360 กระสอบของโจทก์ร่วมไปขายให้แก่ ค. นั้นจำเลยไม่ได้ทำในนามส่วนตัว แต่ได้ทำในนามของโจทก์ร่วมในฐานะที่จำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วม ดังนั้น เงินที่ค.ส่งมาชำระค่าสินค้าโดยผ่านเข้าบัญชีของจำเลยจึงเป็นเงินของโจทก์ร่วม แม้ ค.จะส่งฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของจำเลยแต่ก็เพื่อให้จำเลยนำไปชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ร่วมอีกทีหนึ่งโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย มีสิทธิร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่ จำเลยได้ และเมื่อฟังว่าเงินในบัญชีของจำเลยเป็นเงิน ค่าสินค้าของโจทก์ร่วมที่ผู้ซื้อสินค้ามาชำระให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยในฐานะผู้จัดการของโจทก์ร่วมจึงมีหน้าที่ควบคุมดูแลรักษาเงินนั้นไว้ไม่ให้สูญหาย แต่จำเลยกลับถอนเงินจำนวนนั้นไปเสียไม่ส่งคืนให้โจทก์ร่วมตามหน้าที่ การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ กรณีหาใช่ผู้ซื้อสินค้าฝากเงิน ค่าสินค้าไว้กับจำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปชำระให้แก่โจทก์ร่วม โดยจำเลยจะนำเงินจำนวนใดไปชำระก็ได้ตามฎีกาของจำเลยไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อ จากโทษของจำเลยในคดีอาญาก่อน แต่จำเลยให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าศาลได้สอบถามจำเลยว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาก่อนหรือไม่จนกระทั่งบัดนี้แม้โจทก์จะฎีกาอ้างว่าได้มีคำพิพากษาแล้วในคดีอาญาก่อนก็ตามแต่ไม่ปรากฏเป็นที่กระจ่างชัดว่า จำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาก่อนหรือไม่และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยอย่างไร ศาลจึงไม่อาจนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาก่อนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353 ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายจำนวน 144,182 บาท และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3413/2535
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรศรีสะเกษ จำกัดผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ให้จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายจำนวน 144,182 บาท และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3413/2535
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้นับโทษจำเลยต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่ และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วมมีหน้าที่ดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ร่วมตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยในฐานะผู้จัดการของโจทก์ร่วมได้นำปลายข้าวหักจำนวน 360 กระสอบ ของโจทก์ร่วมไปขายให้แก่นายคุงเซี้ยะ แซ่ตั้ง และนายคุงเซี้ยะชำระค่าสินค้าโดยโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาศรีสะเกษ แล้วจำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากไปไม่นำเงินส่งให้แก่โจทก์ร่วม ดังนี้ เห็นว่า การที่จำเลยนำปลายข้าวหักไปจ่ายให้แก่นายคุงเซี้ยะนั้นจำเลยไม่ได้ทำในนามส่วนตัวแต่ได้ทำในนามของโจทก์ร่วมในฐานะที่จำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วมและปลายข้าวหักที่จำเลยนำไปขายให้แก่นายคุงเซี้ยะนั้น จำเลยก็ทราบดีว่าเป็นปลายข้าวหักของโจทก์ร่วมไม่ใช่ของจำเลยดังนั้น เงินที่นายคงเซี้ยะส่งมาชำระค่าสินค้าโดยผ่านเข้าบัญชีของจำเลยจึงเป็นเงินของโจทก์ร่วม ไม่ใช่เงินของนายคุงเซี้ยะส่งมาฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ร่วมอีกทีหนึ่งตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย มีสิทธิร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ และเมื่อฟังว่าเงินในบัญชีของจำเลยเป็นเงินค่าสินค้าของโจทก์ร่วมที่ผู้ซื้อสินค้าส่งมาชำระให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยในฐานะผู้จัดการของโจทก์ร่วมจึงมีหน้าที่ควบคุมดูแลรักษาเงินนั้นไว้ไม่ให้สูญหาย แต่จำเลยกลับถอนเงินจำนวนนั้นไปเสีย ไม่ส่งคืนให้โจทก์ร่วมตามหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง กรณีหาใช่ผู้ซื้อสินค้าฝากเงินค่าสินค้าไว้กับจำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปชำระให้แก่โจทก์ร่วมโดยจำเลยจะนำเงินจำนวนใดไปชำระก็ได้ตามฎีกาของจำเลยไม่ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า จะนับโทษของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3413/2535 ของศาลชั้นต้นได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3413/2535 ของศาลชั้นต้น แต่จำเลยให้การปฏิเสธ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าศาลได้สอบถามจำเลยว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3413/2535หรือไม่จนกระทั่งบัดนี้แม้โจทก์จะฎีกาอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2344/2538 แต่ก็ไม่ปรากฏเป็นที่กระจ่างชัดว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวหรือไม่ และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยอย่างไร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3413/2535 จึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share