แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พ.ทายาทของส. เจ้ามรดกตกลงรับมอบปั๊มน้ำมันอันเป็นทรัพย์มรดกจากผู้จัดการมรดกเพื่อดำเนินกิจการเรียบร้อยแล้ว โดยในข้อตกลง พ. ไม่ติดใจจะเรียกร้องหรือเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของส. อีกต่อไป ดังนี้ แม้ผู้จัดการมรดกจะยังมิได้โอนปั๊มน้ำมันและสิทธิการเช่า ให้แก่ พ. ก็หาใช่เป็นสาระสำคัญของข้อตกลงไม่เพราะถือว่า พ. เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกแล้ว ภายหลัง พ. ถึงแก่กรรมโจทก์ผู้เป็นทายาทของพ.ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของส. อีก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองและนายไพบูลย์ สงวนพงษ์ เป็นทายาทของนายสตางค์ สงวนพงษ์ เจ้ามรดกซึ่งถึงแก่กรรมและมีทรัพย์มรดกคิดเป็นเงิน 13,066,667 บาท โดยทรัพย์มรดกดังกล่าวมีทายาทมีสิทธิรับมรดก 7 คน และทายาทต่างครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันและแทนกันตลอดมา ต่อมานายไพบูลย์ถึงแก่กรรมโจทก์ทั้งสามเป็นบุตรมีสิทธิรับมรดกแทนที่ จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแต่ไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดก จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งทรัพย์มรดกของนายสตางค์ เจ้ามรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 1 ใน 7 ส่วนคิดเป็นเงิน 1,866,666 บาท หากการแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินจัดแบ่งกันตามส่วนดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เมื่อนายสตางค์ถึงแก่กรรม นายไพบูลย์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับทายาทคนอื่น ๆ ขอรับทรัพย์มรดกหรือทรัพย์สินอื่นแทนทรัพย์มรดกไปครบถ้วนแล้ว จึงได้สละมรดกอื่น ๆ ไม่ติดใจเรียกร้องอีกต่อไป คดีโจทก์ก็ขาดอายุความ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายไพบูลย์ได้รับมรดกส่วนของตนไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอแบ่งมรดกของนายสตางค์เจ้าของมรดกอีกพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นโดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งว่า…หลังจากนายสตางค์เจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้วนายไพบูลย์ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 ตุลาคม 2514 ให้ไว้แก่นายไพโรจน์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสตางค์ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีข้อความว่า “…ข้อ 1. เนื่องจากข้าพเจ้านายไพบูลย์ สงวนพงษ์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกและทรัพย์สินอื่น ๆ ของนายสตางค์ สงวนพงษ์ตามกฎหมาย แต่เนื่องด้วยนายไพโรจน์ สงวนพงษ์ ผู้จัดการมรดกได้นำเงินทรัพย์สินมรดกของนายสตางค์ สงวนพงษ์ ไปลงทุนก่อสร้างปั๊มน้ำมันซัมมิท จำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันต่าง ๆ ของบริษัทซัมมิทอินสเหรียล จำกัด (ปานามา) ตั้งอยู่ในตำบลท้ายช้าง อำเภอเมืองจังหวัดพังงา และได้เช่าที่ดินของนางลาภ กระแส ตั้งปั๊มน้ำมันดังกล่าวขึ้น บัดนี้ปั๊มน้ำมันนี้ได้จัดจำหน่ายน้ำมันแล้วนายไพโรจน์ สงวนพงษ์ ผู้จัดการมรดกตกลงยกปั๊มน้ำมันนี้ให้เป็นสิทธิดำเนินการหรือเป็นเจ้าของให้นายไพบูลย์ สงวนพงษ์ และจะได้จัดการโอนสิทธิการเช่าที่ดินที่ตั้งปั๊มน้ำมันให้แก่นายไพบูลย์ สงวนพงษ์ด้วย…ข้าพเจ้านายไพบูลย์ สงวนพงษ์ พอใจทรัพย์สินที่ได้รับส่วนแบ่งนี้ และไม่ติดใจจะเรียกร้องหรือเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของนายสตางค์ สงวนพงษ์ อีกต่อไปขอสละสิทธิส่วนของมรดกทุกอย่าง…”
ที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อความในเอกสารหมาย ล.1 มีใจความเพียงว่านายไพโรจน์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสตางค์ตกลงมอบปั๊มน้ำมันให้นายไพบูลย์เป็นผู้ดำเนินกิจการแล้วจะยกปั๊มน้ำมันและโอนสิทธิต่าง ๆ ให้นายไพบูลย์ในภายหลังเท่านั้น นายไพโรจน์ยังมิได้โอนปั๊มน้ำมันและสิทธิการเช่าให้นายไพบูลย์ ถือไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งมรดกให้นายไพบูลย์แล้ว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความในเอกสารหมาย ล.1 ระบุชัดว่า นายไพโรจน์ในฐานะผู้จัดการมรดกตกลงยกปั๊มน้ำมันซึ่งลงทุนก่อสร้างด้วยทรัพย์มรดกของนายสตางค์เจ้ามรดกให้แก่นายไพบูลย์ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก นายไพบูลย์ยินยอมรับมรดกอันเป็นส่วนแบ่งนี้โดยไม่ติดใจเรียกร้องเอาส่วนแบ่งทรัพย์ของเจ้ามรดกอีกต่อไป ซึ่งตามเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 2 ระบุว่านายไพโรจน์ตกลงยกปั๊มน้ำมันให้แก่นายไพบูลย์นับจากวันทำสัญญาเป็นต้นไปประกอบกับนางสว่างจิตรเบิกความว่า นายไพบูลย์ได้เข้าดำเนินกิจการปั๊มน้ำมันอยู่ประมาณ 3 ปี จึงเลิก ระหว่างดำเนินกิจการนายไพบูลย์ได้ปลูกบ้านอยู่ข้างปั๊มน้ำมันในที่ดินที่เช่านั้นด้วย กรณีฟังได้ว่านายไพบูลย์ได้รับปั๊มน้ำมันมาเป็นของตนเองแล้ว มิใช่เพียงแต่ดูแลกิจการแทนนายไพโรจน์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเมื่อไม่ได้โอนสิทธิการเช่าที่ดินให้นายไพบูลย์ เอกสารหมาย ล.1 จึงไม่สมบูรณ์และไม่ผูกพันโจทก์นั้น เห็นว่า การโอนสิทธิการเช่าไม่ใช่สาระสำคัญของข้อตกลงแม้จะไม่มีการโอนสิทธิการเช่าก็ยังถือว่านายไพบูลย์เป็นเจ้าของปั๊ทน้ำมันและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และนายไพบูลย์ก็เข้าดำเนินกิจการปั๊มน้ำมันเองแล้ว จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสาระสำคัญ ข้อตกลงตามเอกสารหมาย ล.1 จึงผูกพันคู่สัญญา ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นการประนีประนอมยอมความในการแบ่งปันทรัพย์มรดกซึ่งนายไพบูลย์ลงชื่อให้ไว้กับนายไพโรจน์ในฐานะผู้จัดการมรดกว่านายไพบูลย์ได้รับส่วนแบ่งมรดกดังกล่าวแล้วยินดีสละสิทธิรับมรดกและทรัพย์สินอื่น ๆ ในกองมรดกของนายสตางค์เจ้ามรดกทุกอย่างย่อมมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 852,1750 โจทก์ผู้เป็นทายาทของนายไพบูลย์ ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน.